Categories
Uncategorized

PMS อาการของผู้หญิงก่อนมีประจำเดือน แก้ไขได้จากฮอร์โมน

    /    บทความ    /    PMS อาการของผู้หญิงก่อนมีประจำเดือน แก้ไขได้จากฮอร์โมน

ภาวะข้อไหล่ติดรักษาได้ด้วยกายภาพบำบัด

PMS อาการของผู้หญิงก่อนมีประจำเดือน แก้ไขได้จากฮอร์โมน

 อาการของ PMS มักมีอาการเจ็บคัดตึงเต้านม ปวดท้อง ปวดศีรษะ น้ำหนักขึ้น ส่วนในทางสภาพจิตใจ มักมีอาการกระวนกระวาย อารมณ์แปรปรวน จนคนรอบข้างสังเกตเห็นได้ชัดเจน ซึ่งอาการเหล่านี้จะหายไปเองหลังประจำเดือนมา 2-3 วัน แต่ในบางรายอาจจะมีอาการรุนแรงจนส่งผลกระทบต่อการใช้ชีวิตประจำวันได้ สามารถรักษาอาการได้โดยการรับประทานอาหารที่มีประโยชน์ และออกกำลังอย่างสม่ำเสมอ

PMS

PMS (Premenstrual Syndrome) คือ อาการผิดปกติที่จะเกิดขึ้นก่อนมีประจำเดือนราว 1 – 2 สัปดาห์ ในเพศหญิงช่วงอายุ 20-40 ปี โดยสาเหตุของอาการนั้นมีปัจจัยสำคัญมาจากการเปลี่ยนแปลงของระดับฮอร์โมนเพศหญิงในช่วงก่อนมีประจำเดือน ทั้งนี้ผู้ที่มีอาการ PMS แต่ละคนอาจพบอาการและความรุนแรงที่แตกต่างกัน โดยอาการมักดีขึ้นภายใน 4 วันหลังจากเริ่มมีประจำเดือน โดยอาการของ PMS สามารถแบ่งออกเป็นทางร่างกาย และทางสภาพจิตใจ ดังนี้

อาการทางด้านร่างกาย ได้แก่

  • เจ็บคัดตึงเต้านม
  • ปวดกล้ามเนื้อ
  • ปวดศีรษะ
  • ปวดท้อง ท้องอืด
  • มีสิวขึ้น
  • อ่อนล้า 
  • อยากอาหารมากกว่าปกติทำให้น้ำหนักตัวเพิ่มขึ้น

อาการทางด้านอารมณ์และพฤติกรรม ได้แก่

  • มีอารมณ์แปรปรวน โกรธง่าย หงุดหงิดง่าย
  • ไม่มีสมาธิ เครียด
  • มีอารมณ์เศร้า วิตกกังวล
  • มีพฤติกรรมแยกตัวออกจากสังคม 
  • มีปัญหาเกี่ยวกับการนอนหลับ 
ทั้งนี้ความรุนแรงของ PMS สามารถเพิ่มระดับจนพัฒนาเป็น PMDD หรือ Premenstrual Dysphoric Disorder โดยจะมีความรุนแรงทางด้านอารมณ์มากกว่า PMS คือ มีอารมณ์ก้าวร้าว ควบคุมอารมณ์ไม่ได้ วิตกกังวลมาก ไม่อยากทำกิจกรรมอะไร มีอารมณ์ซึมเศร้ารุนแรง ซึ่งจำเป็นต้องปรึกษาแพทย์ผู้เชี่ยวชาญเฉพาะทางอย่างเร่งด่วน
 
สาเหตุของ PMS
 
ปัจจุบันยังไม่ทราบสาเหตุที่แน่ชัดของกลุ่มอาการนี้ แต่เชื่อว่าเกิดจากเปลี่ยนแปลงของระดับฮอร์โมนเพศหญิงเอสโตรเจนและโปรเจสเตอโรนในช่วงระหว่างการตกไข่ในแต่ละรอบเดือน (ประมาณ 7-10 วันก่อนการมีประจำเดือน) แม้ว่าจะยังไม่ทราบสาเหตุของการเกิด PMS ที่แน่ชัด แต่สันนิษฐานว่าเกี่ยวข้องกับการเปลี่ยนแปลงของระดับฮอร์โมนเพศและปัจจัยอื่น ๆ ดังนี้
 
  • การเปลี่ยนแปลงของฮอร์โมนระหว่างไข่ตกในแต่ละรอบเดือน ซึ่งเป็นช่วงที่ระดับฮอร์โมนเอสโตรเจน (Estrogen) และฮอร์โมนโปรเจสเตอโรน (Progesterone) เพิ่มขึ้นมากกว่าปกติ โดยอาการ PMS จะหายไปในช่วงที่ไม่มีการตกไข่ เช่น ขณะตั้งครรภ์ หรือเข้าสู่วัยหมดประจำเดือน 
  • การเปลี่ยนแปลงของสารเคมีในสมอง ได้แก่มีการเปลี่ยนแปลงของ  Serotonin GABA และ Dopamine จะส่งผลต่อการเปลี่ยนแปลงทางอารมณ์และมีส่วนกระตุ้นให้เกิดอาการต่างๆข้างต้น ก่อนมีประจำเดือนได้
  • กรรมพันธุ์จากครอบครัว
 ปวดท้องประจำเดือน อาจไม่ใช่ PMS เสมอไป!
 
อาการปวดท้องประจำเดือน อาจไม่ได้เกี่ยวข้องกับภาวะ PMS แต่ อาจจะเป็นอาการของภาวะเยื่อบุโพรงมดลูกเจริญผิดที่ หากปวดไม่มาก สามารถใช้ชีวิตประจำวันได้ อาจจะรับประทานยาแก้ปวด เพื่อบรรเทาอาการได้ แต่ถ้ามีอาการปวดมาก จนไม่สามารถใช้ชีวิตประจำวันได้ หรือมีอาการปวดมากขึ้นเรื่อยๆในแต่ละเดือน ควรพบแพทย์เพื่อวินิจฉัยอาการและสาเหตุที่ชัดเจนว่ามาจากการปวดท้องในช่วงมีประจำเดือน หรือปวดท้องจากโรคแทรกซ้อนอื่นๆ 
 
ทั้งนี้ ผู้ที่ประจำเดือนมาไม่สม่ำเสมอ ควรมาพบแพทย์เช่นกัน เพื่อวินิจฉัยโรคแทรกซ้อนอื่นๆที่มีโอกาสเกิดขึ้นได้ 
 
การบรรเทาอาการ PMS
 
ในช่วงก่อนมีประจำเดือน สามารถปฏิบัติตัวเพื่อลดอาการปวดท้องประจำเดือนได้ด้วยตนเอง เช่น ออกกำลังกาย รับประทานอาหารที่มีประโยชน์ ดังนี้
 
  • รับประทานอาหารที่มีประโยชน์ อาหารประเภทคาร์โบไฮเดรตเชิงซ้อน โปรตีน และใยอาหาร เช่น ธัญพืชขัดสีน้อย ผัก และผลไม้ นม และเนื้อสัตว์ไม่ติดมัน หลีกเลี่ยงอาหารที่มีเกลือ น้ำตาล และไขมันสูง
  • รับประทานอาหารไขมันต่ำ (Low Fat) ไฟเบอร์สูง เช่น บลูเบอรี่ มะเขือเทศ พริกหยวก เป็นต้น 
  • วางแผนการรับประทานอาหารในแต่ละมื้อ เมื่อมีอาการอยากกินอาหารบ่อย ให้ลองแบ่งเป็นมื้อเล็กๆ วันละหลายๆ มื้อ เพื่อควบคุมน้ำหนักให้สมดุล
  • ออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอ สัปดาห์ 3–5 ครั้ง ครั้งละ 30 นาที เช่น เดินเร็ว ขี่จักรยาน หรือว่ายน้ำ ซึ่งอาจช่วยบรรเทา อาการซึมเศร้าได้
  • นอนหลับพักผ่อนให้เพียงพอ อย่างน้อยวันละ 8 ชั่วโมง และจัดการกับความเครียดอย่างเหมาะสม เช่น การทำสมาธิ การเล่นโยคะ การนวดผ่อนคลาย และการอ่านหนังสือ
  • หลีกเลี่ยงกาแฟ บุหรี่ สุรา หลีกเลี่ยงของหวาน อาหารเค็ม อาหารรสจัด
  • ทานอาหารเสริม เพื่อเสริมสร้างคสามแข็งแรงของร่างกาย อาทิ รับประทานวิตามินบี 6 วิตามินอี แคลเซียม และแมกนีเซียม ตามคำแนะนำของแพทย์
หากท่านมีอาการ PMS หรือต้องการคำแนะนำเพิ่มเติมเกี่ยวกับอาการของโรค สามารถเข้ามารับคำแนะนำ หรือรับการรักษาโดยแพทย์ได้ที่ พรีโมแคร์ เมดิคอล คลินิก ด้วยบริการ Lifestyle Medicine ที่ให้คำแนะนำตามความต้องการของบุคคล ด้วยแพทย์จากพรีโมแคร์ที่พร้อมให้คำปรึกษาอย่างรอบด้าน ภายใต้การดูเเลอย่างใกล้ชิดจากบุคลากรทางการเเพทย์ของพรีโมเเคร์ สามารถสอบถามหรือนัดหมายล่วงหน้าที่นี่ 
 

Reference

บทความที่เกี่ยวข้อง

Categories
Uncategorized

อาการ PCOS คืออะไร? ภาวะถุงน้ำรังไข่หลายใบอันตรายมากแค่ไหน?

    /    บทความ    /    อาการ PCOS คืออะไร? ภาวะถุงน้ำรังไข่หลายใบอันตรายมากแค่ไหน?

ภาวะข้อไหล่ติดรักษาได้ด้วยกายภาพบำบัด

อาการ PCOS คืออะไร? ภาวะถุงน้ำรังไข่หลายใบอันตรายมากแค่ไหน?

ผู้ป่วย PCOS มักมีอาการหรือรู้สึกถึงความผิดปกติภายหลังจากมีประจำเดือนครั้งแรก ซึ่งภาวะนี้เป็นกลุ่มอาการที่ประกอบด้วยภาวะที่มีฮอร์โมนแอนโดรเจนสูงร่วมกับภาวะไม่ตกไข่เรื้อรัง ภาวะแอนโดรเจนสูงทำให้เกิดภาวะขนดก ผิวหน้ามัน มีสิวมาก การเปลี่ยนแปลงพฤติกรรม การรับประทานอาหารและการออกกำลังกายจะช่วยลดความเสี่ยงในการเกิดภาวะแทรกซ้อนได้ เช่น โรคเบาหวาน ครรภ์เป็นพิษ ไขมันในเลือดสูง โรคหยุดหายใจขณะหลับจากการอุดกั้น เป็นต้น

ถุงน้ำรังไข่หลายใบ (Polycystic Ovary Syndrome)

ภาวะถุงน้ำรังไข่หลายใบ (Polycystic Ovary Syndrome: PCOS) เป็นความผิดปกติของต่อมไร้ท่อ หรือระบบฮอร์โมน ทำให้ผู้ป่วยมีระดับฮอร์โมนเอสโตรเจน โปรเจสเตอโรน แอนโดรเจน และอินซูลินอยู่ในภาวะที่ไม่สมดุล เกิดถุงน้ำขนาดเล็กจำนวนหลายใบอยู่ในรังไข่ และมีอาการแสดงของโรคแตกต่างกันไปในแต่ละบุคคล โดยภาวะนี้ถือเป็นสาเหตุหนึ่งของภาวะมีบุตรยากในเพศหญิง รวมถึงทำให้เพิ่มความเสี่ยงต่อภาวะครรภ์เป็นพิษ การคลอดก่อนกำหนด และการเป็นเบาหวานระหว่างตั้งครรภ์อีกด้วย

สาเหตุของกลุ่มอาการ PCOS

 ยังไม่ทราบสาเหตุแน่ชัด อาจเกี่ยวข้องกับปัจจัยทางพันธุกรรม ปัจจัยทางสิ่งแวดล้อม หรือหลายๆ ปัจจัยร่วมกัน ข้อมูลในปัจจุบันยังไม่สามารถสรุปได้แน่ชัดว่า เกิดจากสาเหตุใดเป็นหลัก แต่พบว่ามีปัจจัยบางอย่างที่อาจส่งผลให้เกิด PCOS ดังนี้ 

1. ภาวะฮอร์โมนไม่สมดุล ทางการแพทย์ยังไม่สามารถยืนยันถึงสาเหตุ ที่ส่งผลให้ฮอร์โมนอยู่ในภาวะไม่สมดุล แต่เป็นไปได้ว่า อาจเกิดจากความผิดปกติของรังไข่เอง ต่อมผลิตฮอร์โมนชนิดต่าง ๆ ในร่างกาย หรือสมองซึ่งมีหน้าที่ควบคุมฮอร์โมน รวมถึงภาวะดื้ออินซูลิน ที่ทำให้ฮอร์โมนมีปริมาณเปลี่ยนไป ความผิดปกติของฮอร์โมนที่มักพบในผู้ป่วย PCOS คือ

– ฮอร์โมนเทสโทสเทอโรนมีปริมาณสูงกว่าปกติ เทสโทสเทอโรน คือฮอร์โมนเพศชายชนิดหนึ่ง โดยปกติจะถูกผลิตขึ้นในร่างกายของเพศหญิงปริมาณเล็กน้อย ระดับเทสโทสเทอโรนที่สูงมากกว่าระดับทั่วไปส่งผลให้ร่างกายเกิดความผิดปกติได้ อาทิ ขนดก ขนหนา หน้ามัน มีสิว เป็นต้น

ฮอร์โมนลูทิไนซิง หรือแอลเอชมีปริมาณสูงกว่าปกติ ลูทิไนซิง คือฮอร์โมนที่ช่วยกระตุ้นการตกไข่ ซึ่งหากมีปริมาณมากเกินไป อาจส่งผลให้รังไข่ทำงานไม่ปกติ ส่งผลให้มีบุตรยาก

– Sex Hormone Binding Globulin หรือ SHBG มีปริมาณต่ำกว่าปกติ SHBG คือโปรตีนในเลือดชนิดหนึ่ง มีหน้าที่ช่วยควบคุมปฏิกิริยาของฮอร์โมนเทสโทสเทอโรนที่มีต่อร่างกาย ปริมาณ SHBG ที่ต่ำลงจึงส่งผลให้ร่างกายผิดปกติจากการทำงานของฮอร์โมนเพศชายที่มากขึ้น

2. ภาวะดื้ออินซูลิน ภาวะดื้อต่ออินซูลินจะมีอาการคล้ายกับโรคเบาหวานชนิดที่ 2 กล่าวคือ เมื่อร่างกายตอบสนองต่ออินซูลินลดลง น้ำตาลในเลือดจึงสูง ทำให้ร่างกายผลิตอินซูลินออกมามากขึ้น เมื่อระดับอินซูลินในร่างกายสูงกว่าปกติจะส่งผลให้รังไข่ถูกกระตุ้นและผลิตฮอร์โมนเทสโทสเทอโรนออกมามากเกินไป ซึ่งจะไปรบกวนการตกไข่และทำให้ประจำเดือนมาไม่ปกติ นอกจากนี้ภาวะดื้อต่ออินซูลินยังเป็นสาเหตุให้น้ำหนักเพิ่มขึ้น เกิดการสะสมไขมัน เสี่ยงต่อการเกิดโรคอ้วนอีกด้วย

3. พันธุกรรม บุคคลที่มีคนใกล้ชิดทางสายเลือดเป็น PCOS จะมีความเสี่ยงต่อการเป็น PCOS มากกว่าบุคคลอื่น ในปัจจุบัน นักวิจัยกำลังศึกษาถึงยีนเฉพาะที่เกี่ยวข้องกับการถ่ายทอดทางพันธุกรรมของ PCOS แต่ยังไม่มีผลลัพธ์ออกมาเป็นที่ชัดเจน

อาการกลุ่ม PCOS 

ผู้ป่วย PCOS มักมีอาการหรือรู้สึกถึงความผิดปกติภายหลังจากมีประจำเดือนครั้งแรก ซึ่งความรุนแรงที่เกิดขึ้นจะแตกต่างกันไปในแต่ละคน โดยส่วนใหญ่จะแสดงอาการหลัก ดังนี้

  • ประจำเดือนมาไม่ปกติ (Irregular period) เช่น ประจำเดือนไม่มาติดต่อกันนานหลายเดือน ประจำเดือนมาไม่สม่ำเสมอ ประจำเดือนมานานและอาจมามากหรือน้อยผิดปกติ รวมถึงกรณีมาสม่ำเสมอในรอบที่น้อยกว่า 21 วัน หรือ รอบที่มากกว่า 35 วัน
  • ขนดก (Hirsutism) ที่แขน ขา ตามลำตัว มีหนวด เนื่องจากมีฮอร์โมนเพศชายสูง
  • เป็นสิว ผิวมัน (Acne, Oily skin) เนื่องจากเป็นภาวะที่มีฮอร์โมนเพศชายสูง ทำให้มีการสร้างไขมันที่ผิวหนังเพิ่มขึ้น เมื่อเกิดการอักเสบจึงกลายเป็นสิวตามมา
  • ศีรษะล้าน ผมบาง (Male-pattern baldness) จากอิทธิพลของฮอร์โมนเพศชาย
  • ภาวะอ้วน น้ำหนักเกิน (Obesity) ป่วย PCOS อาจมีน้ำหนักตัวเพิ่มขึ้นผิดปกติ หรือเกิดความรู้สึกหดหู่ จากอาการผิดปกติต่าง ๆ ที่เกิดขึ้น
  • ไข่ไม่ตก มีบุตรยาก (Infertility) เนื่องจากมีความไม่สมดุลของฮอร์โมนเพศ ประกอบกับเป็นประจำเดือนไม่สม่ำเสมอ จึงส่งผลให้มีบุตรยาก

การรักษากลุ่ม PCOS

  • ปรับเปลี่ยนพฤติกรรม หากคำนวณค่าดัชนีมวลกาย (BMI) แล้วผลลัพธ์มีค่ามากกว่า 25 เป็นต้นไป ซึ่งบ่งชี้ว่ามีน้ำหนักเกินมาตรฐาน ควรหันมาออกกำลังกาย และรับประทานอาหารที่มีประโยชน์ โดยเฉพาะผักและผลไม้ รวมถึงหลีกเลี่ยงอาหารจำพวกไขมันและแป้ง เนื่องจากการลดน้ำหนักลงได้แม้เพียงเล็กน้อย จะช่วยบรรเทาอาการป่วยและป้องกันภาวะแทรกซ้อนในอนาคตได้
  • การออกกำลังกาย การศึกษาส่วนใหญ่จะแนะนำให้ออกกำลังกายควบคู่ไปกับการจำกัดอาหาร ส่วนมากแนะนำให้ออกกำลังกายสม่ำเสมออย่างน้อย 120-150 นาทีต่อสัปดาห์ โดยต้องออกกำลังกายแบบ Cardio Exercise with moderate intensity เนื่องจากผู้ป่วยกลุ่มนี้มักจะมีภาวะอ้วนร่วมด้วย
  • ป้องกันภาวะแทรกซ้อนในระยะยาว ได้แก่ รักษาภาวะดื้ออินซูลิน ลดความเสี่ยงการเกิดโรคเบาหวาน โรคหัวใจและหลอดเลือด รักษาและป้องกันเยื่อบุโพรงมดลูกหนาตัว ฯลฯ
  • รับประทานยา ชนิดของยาที่ต้องรับประทานจะแตกต่างกันไป ขึ้นอยู่กับอาการที่ปรากฎในผู้ป่วยแต่ละราย

– ทานยาคุมกำเนิด ผู้ป่วยที่ประจำเดือนมาไม่ปกติ แพทย์จะแนะนำให้รับประทานยาเม็ดคุมกำเนิดแบบฮอร์โมนรวม (มีฮอร์โมนเอสโตรเจนและโปรเจสเตอโรนเป็นส่วนประกอบ) เพื่อช่วยในเรื่องลดการเกิดขนใหม่ หน้ามันน้อยลง สิวน้อยลง และช่วยให้ประจำเดือนมาเป็นรอบ ทำให้โอกาสเกิดโพรงมดลูกหนาตัวลดลง หรือยาเม็ดคุมกำเนิดแบบฮอร์โมนตัวเดียว (มีเพียงฮอร์โมนโปรเจสเตอโรนเป็นส่วนประกอบ) โดยช่วยลดความเสี่ยงต่อการเกิดมะเร็งเยื่อบุโพรงมดลูก 

– ยับยั้งฮอร์โมนเอสโตรเจน ผู้ป่วยที่มีการตกไข่ผิดปกติ การตกไข่ที่ผิดปกติ เช่น ตกไข่ไม่สม่ำเสมอ หรือไม่ตกไข่ ส่งผลให้มีบุตรยาก แพทย์จะแนะนำให้ผู้ป่วยรับประทานโคลมีฟีน หรือเลทโทรโซล โดยสูตินรีแพทย์ที่เชี่ยวชาญเรื่องเวชศาสตร์การเจริญพันธุ์จะเป็นผู้พิจารณาตามความเหมาะสมของคนไข้ตามรายบุคคล

หากท่านต้องการข้อมูลเพิ่มเติมเกี่ยวกับการปรับพฤติกรรม การรับประทานอาหาร หรือการใช้อาหารเสริม เพื่อช่วยให้ควบคุมกลุ่มอาการของ PCOS ให้ดีขึ้น สามารถเข้ามารับคำแนะนำ หรือรับการรักษาโดยแพทย์ได้ที่ พรีโมแคร์ เมดิคอล คลินิก ด้วยบริการ Lifestyle Medicine ที่ให้คำแนะนำตามความต้องการของบุคคล ด้วยแพทย์จากพรีโมแคร์ที่พร้อมให้คำปรึกษาอย่างรอบด้าน ภายใต้การดูเเลอย่างใกล้ชิดจากบุคลากรทางการเเพทย์ของพรีโมเเคร์ สามารถสอบถามหรือนัดหมายล่วงหน้าที่นี่

Reference

บทความที่เกี่ยวข้อง

Categories
Uncategorized

การใช้คลื่นกระแทกรักษาอาการปวดเรื้อรัง ( Shockwave Therapy)

    /    บทความ    /    การใช้คลื่นกระแทกรักษาอาการปวดเรื้อรัง ( Shockwave Therapy)

ภาวะข้อไหล่ติดรักษาได้ด้วยกายภาพบำบัด

การใช้คลื่นกระแทกรักษาอาการปวดเรื้อรัง ( Shockwave Therapy)

 การรักษาด้วยคลื่นกระแทก หรือ Shockwave Therapy เป็นเทคโนโลยีที่ถูกนำมาใช้ ในการรักษาทางกายภาพบำบัด แบ่งออกเป็น 2 ชนิด ได้แก่ Extracorporeal Shockwave Therapy (ESWT) และ Radial Shockwave Therapy (RSWT) ซึ่งทำการรักษาโดยส่งผ่านคลื่นกระแทกไปบริเวณที่มีอาการปวด เพื่อกระตุ้นเนื้อเยื่อให้เกิดการบาดเจ็บใหม่, กระตุ้นการหลั่งสารลดอาการปวด เหมาะสำหรับผู้ที่มีอาการปวดเรื้อรังได้เป็นอย่างดี 

ประโยชน์ของ Shockwave Therapy

  • ลดอาการปวดเรื้อรังบริเวณกล้ามเนื้อ, เอ็น และข้อต่อ
  • กระตุ้นกระบวนการซ่อมแซมของเยื้อเยื่อที่บาดเจ็บ
  • กระตุ้นการสร้างหลอดเลือดใหม่ และเพิ่มไหลเวียนโลหิต
  • กระตุ้นการสลายหินปูนในเส้นเอ็น
  • เร่งการสมานตัวของกระดูก

กลุ่มอาการที่เหมาะสมในการรักษาด้วยคลื่นกระแทก

      การรักษาโดยพลังงานคลื่นกระแทกกับการใช้ในการรักษาเนื้อเยื่อที่ได้รับการบาดเจ็บเรื้อรังและไม่ค่อยตอบสนองด้วยการรักษาด้วยเครื่องมืออื่นๆ ซึ่งส่วนมากจะเห็นผลทันทีหลังการรักษา โดยกลุ่มอาการที่เหมาะแก่การรักษาโดยพลังงานคลื่นกระแทก มีดังนี้

  • โรคออฟฟิศซินโดรม (Office syndrome) คือ อาการปวดกล้ามเนื้อและเนื้อเยื่อพังผืดเรื้อรัง (Myofascial pain syndrome) เนื่องจากการใช้งานกล้ามเนื้อมัดเดิมซ้ำๆต่อเนื่องเป็นระยะเวลานาน
  •  เอ็นข้อศอกด้านนอกอักเสบ (Tennis elbow) คือ อาการปวดบริเวณข้อศอกด้านนอก ซึ่งเกิดจากการใช้งานซ้ำๆของเอ็นกล้ามเนื้อที่ใช้ในการกระดกข้อมือขึ้น จนเกิดการอักเสบ
  •  ปลอกหุ้มเอ็นข้อมืออักเสบ (De quervain’s disease) คือ อาการปวดบริเวณโคนนิ้วโป้ง ซึ่งเกิดจากการใช้งานของข้อมือและนิ้วหัวแม่มือในลักษณะเดิมซ้ำๆ จนเกิดการเสียดสีของเอ็นบริเวณนิ้วโป้งกับปลอกหุ้มเอ็นข้อมือ จนเกิดการอักเสบ  
  • เอ็นหัวเข่าอักเสบ (Patellar tendinitis) คือ อาการปวดบริเวณรอบๆ กระดูกสะบ้า ซึ่งเกิดจากการฉีกขาดของเส้นเอ็นบริเวณเหนือลูกสะบ้า มักพบได้บ่อยในนักวิ่ง, นักกีฬากระโดดสูง
  • เอ็นร้อยหวายอักเสบ (Achilles tendinitis) คือ อาการเจ็บบริเวณหลังส้นเท้า ขณะเดินลงน้ำหนัก, เล่นกีฬา หรือทำกิจกรรมต่างๆ ซึ่งเกิดจากการใช้งานซ้ำๆของเอ็นร้อยหวาย จนทำให้เกิดการบาดเจ็บ
  • เอ็นฝ่าเท้าอักเสบ หรือ รองช้ำ (Plantar fasciitis) คือ อาการปวดบริเวณใต้ฝ่าเท้า ซึ่งเกิดจากการตึงตัวของกล้ามเนื้อน่องและเส้นเอ็นใต้ฝ่าเท้า จนเกิดการอักเสบ
  • อื่นๆ ได้แก่ ข้อไหล่ติด (Frozen shoulder), พังผืดกดทับเส้นประสาทข้อมือ (Carpal tunnel syndrome), นิ้วล็อค (Trigger finger), ข้อเข่าเสื่อม (Knee osteoarthritis)

อย่างไรก็ตาม ควรได้รับการซักประวัติและตรวจร่างกายอย่างละเอียดโดยแพทย์และนักกายภาพบำบัด เพื่อหาสาเหตุ, วินิจฉัยและพยากรณ์โรคได้อย่างถูกต้องและแม่นยำ เพื่อประสิทธิภาพในการรักษาที่ดีที่สุด

หากคุณต้องการปรึกษาแพทย์ เกี่ยวกับการทำกายภาพบำบัด สามารถเข้ามารับคำแนะนำได้ที่ พรีโมแคร์ เมดิคอล คลินิก เรามีบริการครบถ้วน ตั้งแต่การตรวจวิเคราะห์ทางกายภาพ รวมถึงการทำกายภาพบำบัดเฉพาะบุคคล สามารถสอบถามหรือนัดหมายล่วงหน้าที่นี่ 

Reference

บทความที่เกี่ยวข้อง

Categories
Uncategorized

อาการสัญญาณเตือน คุณอาจเสี่ยงเป็นโรคซึมเศร้า

    /    บทความ    /    อาการสัญญาณเตือน คุณอาจเสี่ยงเป็นโรคซึมเศร้า

ภาวะข้อไหล่ติดรักษาได้ด้วยกายภาพบำบัด

อาการสัญญาณเตือน คุณอาจเสี่ยงเป็นโรคซึมเศร้า

โรคซึมเศร้าเป็นโรคที่เกิดจากความไม่สมดุลของสารสื่อประสาท 3 ชนิด คือ ซีโรโตนิน นอร์เอปิเนฟริน และโดปามีน เป็นความผิดปกติของสมองในส่วนที่มีผลกระทบต่อความคิด อารมณ์ ความรู้สึก พฤติกรรม รวมถึงสุขภาพทางกาย ผู้ที่ป่วยเป็นโรคซึมเศร้าจึงจำเป็นที่ต้องได้รับการดูแลจาก นักจิตบำบัด หรือจิตแพทย์ เพื่อให้ได้รับการบำบัดอย่างถูกวิธี

โรคซึมเศร้า

การสังเกตตัวเองหรือคนรอบข้างว่าเข้าข่ายโรคซึมเศร้าหรือไม่ สามารถตรวจจากข้อสำรวจง่ายๆ 9 ข้อ หากมีอาการ 5 ข้อขึ้นไป ติดต่อกันเกินกว่า 2 สัปดาห์ อาจเสี่ยงเป็นโรคซึมเศร้า ควรปรึกษาแพทย์ เพื่อวิเคราะห์และหาแนวทางแก้ไขหรือรักษาต่อไป

  • มีอารมณ์ซึมเศร้า (เด็กหรือวัยรุ่นอาจมีอาการหงุดหงิด โกรธง่าย ต่อต้าน แยกตัว ก้าวร้าว)
  • เบื่อ หมดความสนใจหรือความสุขในการทำกิจกรรมต่างๆ
  • นอนไม่หลับ หรือหลับๆตื่นๆหรือ อยากนอนตลอดเวลา
  • เหนื่อยง่ายหรือไม่ค่อยมีแรง
  • เบื่ออาหารหรือกินมากเกินไป
  • รู้สึกไร้ค่า รู้สึกไม่ดีกับตัวเอง คิดว่าตัวเองทำให้คนอื่นเดือดร้อน 
  • ไม่มีสมาธิหรือลังเลใจไปหมด 
  • คิดช้า พูดช้า ทำอะไรช้าลงหรือกระวนกระวาย ไม่อยู่นิ่ง
  • มีความคิดอยากตาย คิดทำร้ายตัวเอง
โรคซึมเศร้า

โรคซึมเศร้า สามารถรักษาให้หายได้ด้วยวิธีการรักษาทางจิตใจ และการรักษาด้วยยาหลายชนิด โดยที่แต่ละคนอาจตอบสนอง ต่อการรักษาแต่ละชนิดไม่เท่ากัน บางคนอาจต้องการการรักษาหลายอย่างร่วมกัน การรับประทานยาจะทำให้อาการของโรคดีขึ้นเร็ว ในขณะที่การรักษาทางจิตใจจะช่วยให้คุณเหมือนมี “ภูมิคุ้มกัน”
  • อาหาร ให้กินอาหารครบ 5 หมู่ หากขาดสารอาหารบางอย่างไปจะทำให้มีความเสี่ยงเป็นโรคซึมเศร้ามากขึ้น เช่น โอเมก้า 3 วิตามิน อี ซี ดี ทองแดง ธาตุเหล็ก
  • การออกกำลังกาย ควรออกกำลังกายสัปดาห์ละอย่างน้อย 4 วันต่อสัปดาห์ ต่อเนื่องกัน 30-40 นาที เป็นการออกกำลังกายเบาๆ เช่น เดินเร็วก็ได้
  • การพักผ่อน นอนหลับให้เพียงพอกับที่ร่างกายต้องกาย ให้ตื่นขึ้นมาแล้วรู้สึกสดชื่น ไม่ง่วงหรือยังเพลียอยู่
  • การทำสมาธิ (Mindfulness) เพื่อผ่อนคลายจิตใจ มีงานวิจัยมากมายพบว่าการทำสมาธิช่วยให้สมองผ่อนคลาย ลดความเครียดได้
  • การฝึกคิดบวก ลดการมองตนเองในเชิงลบ เพิ่มมุมมองดีๆเชิงบวก ให้กับตัวเองอยู่เสมอเพื่อสร้างให้จิตใจมีความเข้มแข็ง เอาชนะอุปสรรคในชีวิตได้
การประเมินนี้เป็นการประเมินระดับภาวะซึมเศร้าในขั้นต้น ส่วนการวินิจฉัยนั้นจำเป็นต้องพบแพทย์เพื่อซักประวัติ ตรวจร่างกาย รวมถึงส่งตรวจเพิ่มเติมที่จำเป็น เพื่อยืนยันการวินิจฉัยที่แน่นอน รวมถึงเพื่อแยกโรคหรือภาวะอื่นๆ เนื่องจากภาวะซึมเศร้าสามารถเกิดจากหลายสาเหตุได้มากมาย เช่น โรคทางจิตเวชอื่นที่มีอาการซึมเศร้าร่วมด้วย โรคทางร่างกายเช่นโรคไทรอยด์ โรคแพ้ภูมิตัวเอง หรือเกิดจากยา เป็นต้น

อย่างไรก็ตาม ผู้ป่วยควรได้รับการซักประวัติและตรวจร่างกายโดยนักจิตวิทยา หรือจิตแพทย์อย่างละเอียด เพื่อการวินิจฉัยโรคและทราบสาเหตุของการเกิดโรคที่ถูกต้อง จะส่งผลก่อให้เกิดประสิทธิภาพในการรักษาดีที่สุด และเหมาะสมกับผู้ป่วยแต่ละราย

หากคุณต้องการปรึกษาแพทย์ เพื่อนัดหมาย พูดคุยกับนักจิตวิทยา สามารถเข้ามารับคำแนะนำได้ที่ พรีโมแคร์ เมดิคอล คลินิก เรามีบริการครบถ้วน ทั้งทางร่างกายและจิตใจ สามารถสอบถามหรือนัดหมายล่วงหน้าที่นี่ 

Reference

บทความที่เกี่ยวข้อง

Categories
Uncategorized

เสี่ยงหรือไม่? สำรวจตัวเองกับมะเร็งเต้านม

    /    บทความ    /    เสี่ยงหรือไม่? สำรวจตัวเองกับมะเร็งเต้านม

ภาวะข้อไหล่ติดรักษาได้ด้วยกายภาพบำบัด

เสี่ยงหรือไม่? สำรวจตัวเองกับมะเร็งเต้านม

 มะเร็งเต้านมเป็นมะเร็งที่พบได้บ่อยอันดับ 1 ในผู้หญิงไทยและทั่วโลก ในแต่ละปีจะมีผู้เสียชีวิตจากมะเร็งเต้านมถึง 0.68 ล้านคน ดังนั้นการตรวจคัดกรองมีความสําคัญมาก เนื่องจากการค้นพบมะเร็งเต้านมในระยะเริ่มแรกสามารถรักษาให้หายขาดได้ ซึ่งจะช่วยลดระยะเวลาในการรักษา และอัตราการเสียชีวิตลงได้

มะเร็งเต้านม (Breast Cancer)

มะเร็งเต้านมเกิดจากเซลล์ของเต้านมที่มีการแบ่งตัวอย่างผิดปกติส่วนใหญ่มักเกิดที่ภายในท่อน้ำนมหรือต่อมน้ำนม และสามารถกระจายออกไปอวัยวะใกล้เคียงเช่นต่อมน้ำเหลืองที่รักแร้ หรือแพร่กระจายไปอยู่อวัยวะที่อยู่ห่างไกล เช่น กระดูก ปอด ตับ และสมอง เช่นเดียวกับมะเร็งชนิดอื่นๆ ทั้งนี้มะเร็งเต้านมพบในผู้หญิงมากกว่าผู้ชาย โดยผู้ชายมีโอกาสพบได้น้อยมากเพียง1% ของมะเร็งเต้านมทั้งหมด

สาเหตุของมะเร็งเต้านม

  • อายุ ในผู้หญิงที่มีอายุมากกว่า 50 ปีจะมีความเสี่ยงเพิ่มขึ้น 
  • ฮอร์โมน ฮอร์โมนเพศหญิงมีความสัมพันธ์กับการเกิดมะเร็งเต้านม ผู้หญิงที่ใช้ยาคุมกําเนิดมากกว่า 5 ปี หรือได้รับฮอร์โมนเอสโตรเจนทดแทนหลังหมดประจําเดือนเป็นระยะเวลานานกว่า 2 ปี จะเพิ่มความเสี่ยงของมะเร็งเต้านมมากขึ้น
  • ประวัติโรคมะเร็ง ผู้ที่เคยเป็นมะเร็งเต้านมข้างหนึ่ง มีโอกาสเสี่ยงที่จะตรวจพบโรคมะเร็งได้ที่เต้านมอีกข้างหนึ่งได้มากขึ้น
  • พันธุกรรม มะเร็งเต้านมมีการถ่ายทอดทางพันธุกรรมที่เกี่ยวข้องกับยีน BRCA1, BRCA2 (บีอาร์ซีเอวัน, บีอาร์ซีเอทู) ผู้หญิงที่มีการกลายพันธุ์ของยีน จะมีโอกาสเสี่ยงเป็นมะเร็งเต้านมเพิ่มขึ้น 
  • พฤติกรรม การดื่มเครื่องดื่มที่มีแอลกอฮอร์ รับประทานอาหารที่มีไขมันสูง การขาดการออกกําลังกาย ภาวะอ้วนหลังหมดประจําเดือน น้ำหนักเกิน เพิ่มความเสี่ยงในการเป็นมะเร็งเต้านมมากขึ้น

การตรวจคัดกรองมะเร็งเต้านมด้วยตนเอง

การตรวจเต้านมด้วยตนเองควรทําอย่างน้อยเดือนละครั้ง ช่วงเวลาที่เหมาะสมสําหรับผู้ที่ยังมีประจําเดือน คือ 7-10 วัน หลังจากมีประจําเดือนวันแรก โดยการตรวจเต้านมด้วยตนเอง ท่านอาจตรวจได้ทั้งในท่ายืน ท่านั่ง หรือท่านอนก็ได้ โดยสามารถสังเกตได้ด้วยตนเองด้วยวิธีการดังนี้

  • การดู โดยให้ท่านยืนหน้ากระจกเงา ปล่อยแขนแนบลําตัวทั้ง 2 ข้าง ตามด้วยท่ายกมือเท้าสะเอว และยกมือทั้ง 2 ข้างไว้เหนือศรีษะ
  • การคลํา หลังจากดูลักษณะเต้านม 2 ข้าง ครบเรียบร้อยแล้ว ให้ท่านคลําบริเวณรักแร้ บริเวณเหนือกระดูกไหปล้าร้าและคลําเต้านมทั้ง 2 ข้าง

สัญญาณผิดปกติ

  • พบก้อนเนื้อบริเวณเต้านม หรือใต้รักแร้ 
  • มีอาการเจ็บผิดปกติที่เต้านม
  • บริเวณเต้านมมีผื่น แดง ร้อน ผื่นคล้ายผิวส้ม
  • ขนาดหรือรูปร่างของเต้านมเปลี่ยนไป ไม่เท่ากันอย่างชัดเจน
  • มีรอยบุ๋มของผิวหนังบริเวณเต้านม หรือหัวนม
  • มีเลือด น้ำเหลือง หรือของเหลวไหลออกมาจากหัวนม 

ทั้งนี้ หากท่านคลำพบเจอสิ่งปกติ ควรที่จะเข้ารับการตรวจรักษาโดยแพทย์เพิ่มเติม เพื่อจะได้เข้ารับการรักษาที่ถูกต้อง หากคุณต้องการปรึกษาแพทย์ เกี่ยวกับสุขภาพ ที่พรีโมแคร์ เมดิคอล เราพร้อมให้บริการคุณอย่างครบถ้วน สามารถสอบถามเพิ่มเติม หรือทำการนัดหมายล่วงหน้าเพื่อเข้ารับบริการได้ที่ Line Official @primocare หรือคลิกที่นี่  

Reference

บทความที่เกี่ยวข้อง

Categories
Uncategorized

ภาวะเครียดสะสม ที่คุณอาจไม่รู้ตัว

    /    บทความ    /    ภาวะเครียดสะสม ที่คุณอาจไม่รู้ตัว

ภาวะข้อไหล่ติดรักษาได้ด้วยกายภาพบำบัด

พูดคุยกับนักจิตวิทยาช่วยอะไรได้บ้าง?

ความเครียดเป็นสภาวะของอารมณ์ เมื่อต้องเผชิญหน้ากับสถานการณ์อันตราย ร่างกายจะหลั่งสารสื่อประสาท ส่งผลให้หัวใจเต้นเร็ว หายใจถี่ขึ้น กล้ามเนื้อหดตัว และความดันโลหิตสูงขึ้น โดยผู้ที่ป่วยเป็นโรคเครียดมักเกิดอาการของโรคทันทีที่เผชิญสถานการณ์ที่ทำให้เกิดความเครียด ในบางรายอาจจะเป็นโรคซึมเศร้า (Depressive disorder) หรือ โรควิตกกังวล (Anxiety disorders) ได้ในอนาคต

ภาวะเครียด

โรคเครียดมีสาเหตุมาจากการพบเจอหรือรับรู้เหตุการณ์อันตรายที่ร้ายแรง ทั้งนี้ความเครียดอาจเกิดจากการใช้ชีวิตประจำวัน ซึ่งความรู้สึกดังกล่าวอาจส่งผลกระทบต่อการทำงานของร่างกายและอารมณ์ ดังนี้ 

  • ความเปลี่ยนแปลงทางร่างกาย อาทิ ความดันโลหิตสูง หัวใจเต้นเร็ว ใจสั่น เหงื่อออกที่ฝ่ามือ เวียนศีรษะ หายใจไม่สะดวก แน่นหน้าอก หรือนอนไม่หลับ เป็นต้น 
  • ความเปลี่ยนแปลงทางอารมณ์ อาทิ รู้สึกกดดันอยู่เสมอ ไม่มีสมาธิ อารมณ์แปรปรวน

ทั้งนี้ภาวะเครียด สามารถที่จะกลายเป็นความเครียดสะสม หรือความเครียดเรื้อรังได้ หากมีอาการเครียดติดต่อกันเป็นระยะเวลานาน จนเกิดความสะสมสร้างความกังวลและรบกวนต่อการใช้ชีวิตประจำวัน ในบางรายที่มีอาการเครียดสะสมมากๆ อาจส่งผลกระทบต่อการทำงานและคนรอบข้างได้ 

สัญญาณเตือนภาวะเครียด

ภาวะเครียดสามารถก่อให้เกิดผลทั้งทางด้านร่างกายและจิตใจ รวมถึงพฤติกรรมที่เปลี่ยนแปลงไป ทั้งนี้ผู้ที่ต้องการสังเกตุว่าตนเองมีภาวะเครียดสะสมหรือไม่ สามารถตรวจสอบความผิดปกติของร่างกาย พฤติกรรม และอารมณ์เบื้องต้นเหล่านี้ เพื่อนำไปสู่การรักษาที่ถูกต้อง

  • สัญญาณทางร่างกาย เช่น หายใจถี่ หัวใจเต้นเร็ว หายใจลำบาก มีอาหารปวดหัว ปวดท้อง นอนไม่หลับ ปวดเมื่อยบริเวณบ่าและคอ ท้องผูกสลับกับท้องเสีย ชาตามปลายมือปลายเท้า
  • สัญญาณทางอารมณ์ เช่น เบื่อหน่ายชีวิต วิตกกังวล มีความต้องการทางเพศลดลง อ่อนไหวง่าย
  • สัญญาณทางพฤติกรรม เช่น นิ่งเงียบ ไม่พูดคุย มั่นใจในตัวเองลดน้อยลง ทานอาหารมากขึ้นหรือน้อยลงอย่างเห็นได้ชัด เริ่มใช้เครื่องดื่มแอลกอฮอล์ บุหรี่ หรือสนใจที่จะเสพสารเสพติด
  • เกิดโรคแทรกซ้อน ปัญหาทางสุขภาพจิต เช่น โรคซึมเศร้า โรควิตกกังวล หรือบุคลิกภาพแปรปรวน

การป้องกัน รักษาภาวะเครียด

ถึงแม้ว่าอาการเครียด หรือกังวลจะเป็นเรื่องปกติในชีวิตประจำวัน แต่ถ้าหากผู้ป่วยมีภาวะเครียดสะสม ที่ก่อให้เกิดความกังวลและรบกวนต่อการใช้ชีวิตประจำวัน อาจส่งผลกระทบต่อการทำงานและคนรอบข้างได้ ดังนั้นผู้ที่มีอาการตรใข้างต้นจำเป็นที่จะต้องเข้ารับการรักษา หรือป้องกันก่อนเกิดภาวะเครียดสะสม

  • ทำกิจกรรมที่ทำให้คุณรู้สึกสนุกเพลิดเพลินและผ่อนคลาย เช่น การนอนดูหนัง ฟังเพลงสบายๆ หรือออกไปหากิจกรรมกับคนรอบข้าง เช่น เพื่อน คนรัก หรือครอบครัว 
  • ฝึกการผ่อนคลาย เช่น การฝึกหายใจ การทำสมาธิ การฝึกจินตภาพเพื่อเอาชนะความเครียด ความวิตกกังวล จะช่วยให้ชีพจรเต้นช้าลง และคลายความกังวลไปได้บ้าง
  • เปลี่ยนแปลงทัศนคติ เช่น มองความท้าทายว่าเป็นโอกาสในการเรียนรู้และเติบโต หรือใช้หลักการทางศาสนาเข้าช่วยเพื่อให้มีสติและมีความสงบสุขในจิตใจ
  • จัดสรรเวลาในชีวิตประจำวัน โดยการแยกเวลาการทำงาน และเวลาส่วนตัวให้ชัดเจน จัดสรรเวลาเพื่ออยู่กับตัวเอง และทำกิจกรรมที่ผ่อนคลาย
  • ออกกำลังกาย หรือเคลื่อนไหวร่างกายอย่างสม่ำเสมอ เมื่อมีอาการเครียด ร่างกายจะหลั่งสาร Cortisol ซึ่งสามารถช่วยทำให้ร่างกายลดความตึงเครียดโดยการขยับร่างกายวันละ 30 นาที 3 – 5 วันต่อสัปดาห์ 
  • ปรึกษาแพทย์ หากคุณรู้สึกเครียด วิตกกังวล จนไม่สามารถควบคุมความรู้สึกเหล่านี้ได้ การไปพบจิตแพทย์ หรือนักจิตบำบัดจะช่วยบรรเทาอาการเครียดสะสม ผ่านการให้คำปรึกษาและบำบัดอย่างถูกต้อง เพื่อคลายความเครียดอย่างถูกวิธี 

สุขภาพใจมีความสำคัญและต้องการการดูแลไม่ต่างจากสุขภาพกาย หมั่นสังเกตอารมณ์ ความคิด และความรู้สึกของตัวเอง หากท่านต้องการที่จะปรึกษาปัญหาเกี่ยวกับสุขภาพใจ ให้พรีโมแคร์ช่วยรับฟังและหาทางรับมือปัญหา นัดหมายปรึกษานักจิตวิทยาของเราได้ที่ Line Official @primoCare หรือคลิกที่นี่ 

 

Reference

บทความที่เกี่ยวข้อง

Categories
Uncategorized

พูดคุยกับนักจิตวิทยาช่วยอะไรได้บ้าง?

    /    บทความ    /    พูดคุยกับนักจิตวิทยาช่วยอะไรได้บ้าง?

ภาวะข้อไหล่ติดรักษาได้ด้วยกายภาพบำบัด

พูดคุยกับนักจิตวิทยาช่วยอะไรได้บ้าง?

 นักจิตวิทยา (Psychologists) เป็นผู้ที่ศึกษาลงลึกด้านจิตใจของมนุษย์และเป็นผู้มีความเชี่ยวชาญด้านภาวะทางจิตใจ และ อารมณ์ ที่ส่งผลกระทบต่อพฤติกรรม ซึ่งเป็นศาสตร์ที่ศึกษาเกี่ยวกับจิตใจ กระบวนความคิด และพฤติกรรมของมนุษย์ในปัจจัยแวดล้อมทางสังคมต่างๆ

นักจิตวิทยาช่วยอย่างไร?

การรักษาของนักจิตวิทยาจะเน้นวิธีการตรวจประเมินทางจิตวิทยาและการบำบัดทางจิต ความคิด อารมณ์ และพฤติกรรมโดยการพูดคุยแลกเปลี่ยนและทำแบบทดสอบเฉพาะด้านเป็นหลัก เพื่อหาสาเหตุของปัญหาและร่วมหาแนวทางการแก้ไข รวมถึงให้คำแนะนำในการปรับเปลี่ยนพฤติกรรมหรือความคิดเพื่อฟื้นฟูสุขภาพจิต โดยนักจิตวิทยาคือผู้ที่เรียนทางจิตวิทยาและได้รับการฝึกจนเป็นนักจิตวิทยาที่มีความเชี่ยวชาญในสาขาที่ตนเองสนใจ เช่น จิตวิทยาคลินิก จิตวิทยาการให้การปรึกษา จิตวิทยาองค์กร จิตวิทยาสุขภาพ มีหน้าที่ตรวจประเมินด้วยแบบทดสอบ ให้คำปรึกษา หรือทำจิตบำบัดตามทฤษฎีที่ตนเองสนใจเป็นพิเศษกับผู้ป่วยด้วยการพูดคุย แต่นักจิตวิทยาจะไม่สามารถสั่งจ่ายยาหรือวินิจฉัยอาการทางการแพทย์ได้ โดยทั้งคู่มักทำงานร่วมกันเพื่อช่วยฟื้นฟูสุขภาพจิตของผู้ป่วย 

เมื่อไหร่ถึงจะต้องไปหานักจิตวิทยา

 นักจิตวิทยามักดูแลปัญหาทางสภาวะจิตใจที่สามารถรักษาได้ด้วยการให้คำปรึกษาหรือทำจิตบำบัด ปัญหาทั่วไปที่หลายคนพบเจอในชีวิตประจำวัน แต่ไม่สามารถหาทางออกด้วยตัวเอง หรือไม่รู้จะไปปรึกษาใคร ล้วนแล้วแต่ปรึกษานักจิตวิทยาได้ เช่น ความเครียดจากการเรียนและการทำงาน ภาวะหมดไฟ ในการทำงาน (Burnout) ความวิตกกังวลต่อเรื่องต่างๆ ที่รู้สึกว่ามีมากเกินไป และปัญหาด้านความสัมพันธ์กับคนรอบข้าง ทั้งครอบครัว เพื่อน หรือคนในที่ทำงาน รวมไปถึงภาวะซึมเศร้าและวิตกกังวลที่ยังไม่รุนแรง ปัญหาอื่นๆในด้านพฤติกรรม การเรียนรู้ และการปรับตัวเข้ากับสังคม 

  • เมื่อเผชิญหน้ากับปัญหาชีวิต ในช่วงต่างๆ
  • ต้องการคำปรึกษาเกี่ยวกับเรื่องชีวิตในมิติต่างๆ
  • ต้องการดูแลความเครียด ความกังวลที่เกิดขึ้น
  • ต้องการตัดสินใจที่มั่นคงมากขึ้น
  • อยากปรับเปลี่ยนพฤติกรรมบางอย่าง เพื่อให้ชีวิตตัวเองดีขึ้น
  • อยากมีความสัมพันธ์ที่ดีขึ้น อยากดูแลความสัมพันธ์กับคนสำคัญหรือครอบครัว
  • ต้องการคลี่คลายปมบางอย่างภายในใจ
  • การเปลี่ยนสภาพแวดล้อม สภาวะหมดไฟ
  • เมื่อพบความกดดัน รู้สึกแปลกแยก และต้องการปรับตัว หรือพัฒนาตัวเอง
  • มีปัญหาภายในครอบครัวและต้องการหาทางออก
  • ต้องการมีความสุข ความพอใจในชีวิตตัวเองมากขึ้น
สุขภาพใจมีความสำคัญและต้องการการดูแลไม่ต่างจากสุขภาพกาย หมั่นสังเกตอารมณ์ ความคิด และความรู้สึกของตัวเอง หากท่านต้องการที่จะปรึกษาปัญหาเกี่ยวกับสุขภาพใจ ให้พรีโมแคร์ช่วยรับฟังและหาทางรับมือปัญหา นัดหมายปรึกษานักจิตวิทยาของเราได้ที่ LINE @primoCare หรือคลิกที่นี่ 
 

Reference

บทความที่เกี่ยวข้อง

Categories
Uncategorized

วิตามิน สารอาหารเสริมภูมิคุ้มกัน สร้างความแข็งแรงจากภายใน

    /    บทความ    /    วิตามิน สารอาหารเสริมภูมิคุ้มกัน สร้างความแข็งแรงจากภายใน

ภาวะข้อไหล่ติดรักษาได้ด้วยกายภาพบำบัด

วิตามิน สารอาหารเสริมภูมิคุ้มกัน สร้างความแข็งแรงจากภายใน

 วิตามินเป็นสารประกอบอินทรีย์ ซึ่งเป็นสารอาหารสำคัญที่สิ่งมีชีวิตต้องการในปริมาณเล็กน้อย โดยได้รับจากการรับประทานอาหาร เนื่องจากร่างกายไม่สามารถสังเคราะห์ได้ในปริมาณที่เพียงพอ 

หน้าที่ของวิตามิน

วิตามินแต่ละชนิดมีหน้าที่แตกต่างกัน โดยวิตามินแต่ละชนิดจะได้รับจากสารอาหารที่แตกต่างกัน หากร่างกายขาดวิตามินชนิดใดชนิดหนึ่ง หรือได้รับในปริมาณที่ไม่เพียงพอต่อร่างกาย อาจทำให้เกิดความผิดปกติต่อร่างกายได้ โดยวิตามินแบ่งเป็น 2 กลุ่มคือ

1. กลุ่มที่ละลายในน้ำ หมายถึง วิตามินที่สามารถถูกขับออกทางไตพร้อมกับปัสสาวะ โดยวิตามินจะอยู่ในร่างกาย 2-4 ชั่วโมง ทำให้มีโอกาสที่จะสะสมในร่างกายน้อย ไม่ก่อผลข้างเคียง เช่น วิตามินบี และวิตามินซี

  • วิตามินบี : เกี่ยวข้องกับระบบประสาท พลังงานและเม็ดเลือด อาทิ 
– วิตามินบี 1 ช่วยเกี่ยวกับการทำงานของระบบประสาทและกล้ามเนื้อ ป้องกันโรคเหน็บชา หากขาดจะเกิดอาการกล้ามเนื้ออ่อนแรงได้ พบในเนื้อหมู เมล็ดทานตะวัน ข้าวซ้อมมือ 
 
– วิตามินบี 2 เกี่ยวข้องกับการสร้างเส้นผม เล็บ และผิวหนัง เป็นสารต้านอนุมูลอิสระ ช่วยป้องกันโรคปากนกกระจอก จะพบในอาหารจำพวกข้าว ธัญพืช เนื้อสัตว์ ไข่ นม เครื่องในสัตว์ ตับ ผักใบเขียว โยเกิร์ต ข้าวโอ๊ต
 
– วิตามินบี 5  เกี่ยวข้องกับระบบสัมผัส หากได้รับไม่เพียงพอจะทำให้ความรู้สึกสัมผัสเพี้ยน มีอาการเหน็บชาตามปลายมือ ปลายเท้า ท้องร่วง อาจมีคลื่นไส้และอาการแสบร้อนกลางอก จะพบในอาหารจำพวกเนื้อไก่ เนื้อวัว ตับ มันฝรั่ง เมล็ดทานตะวัน
 
– วิตามินบี 6 เกี่ยวกับระบบของเส้นประสาท หากขาดวิตามินบี 6 จะเกิดภาวะซีด โลหิตจางได้ พบมากในเนื้อสัตว์ ปลา ไก่ ตับ มันฝรั่ง กล้วย แตงโม นม ไข่แดง ข้าวกล้อง
 
– วิตามินบี 7 เกี่ยวกับเรื่องผิวหนัง ถ้าขาดจะเป็นผิวหนังอักเสบ ลำไส้อักเสบ ส่วนใหญ่พบในดอกกะหล่ำ ถั่ว กล้วย ปลาแซลมอน ไข่ ตับ งา 
 
– วิตามินบี 9 เกี่ยวข้องกับการสร้างเม็ดเลือด หากขาดจะเป็นโรคโลหิตจางได้ พบในถั่ว ผักโขม บรอกโคลี คะน้า ผักบุ้ง กวางตุ้ง ผักกาดหอม 
 
– วิตามินบี 12 เกี่ยวกับระบบประสาท หากขาดจะเกิดอาการโลหิตจางได้ มีขนาดเม็ดเลือดแดงโตกว่าปกติ พบในกลุ่มเนื้อสัตว์ นม เนย ไข่แดง โยเกิร์ต

  • วิตามินซี : ช่วยในการดูดซึมธาตุเหล็กจากอาหาร ป้องกันเลือดออกตามไรฟัน และทำให้แผลหายเร็วขึ้น อาหารที่มีวิตามินซีสูง ได้แก่ บร็อคโคลี่ มันฝรั่ง พริกหวาน ผักโขม มะละกอ มะม่วง สตรอเบอร์รี่ ฝรั่ง ส้ม

2. กลุ่มที่ละลายในไขมัน หมายถึง วิตามินที่ละลายในไขมัน หรือน้ำมันเท่านั้น เพื่อดูดซึมเข้าสู่ร่างกาย ไม่สามารถขับออกมาทางปัสสาวะได้ หากได้รับมากเกินจะเก็บสะสมไว้ในร่างกาย เช่น วิตามินเอ, ดี, อี และวิตามินเค

  • วิตามินเอ : ช่วยรักษาสายตาของผู้สูงวัยไม่ให้เสื่อมสภาพเร็ว ช่วยการเจริญเติบโตของเนื้อเยื่อและระบบภูมิคุ้มกันของร่างกาย แหล่งของวิตามินเอในอาหาร ได้แก่ ผักโขม แครอท มันเทศ ฟักทอง มะละกอ มะม่วงสุก
  • วิตามินดี : ช่วยป้องกันโรคกระดูกบางและกระดูกพรุน เป็นวิตามินที่ส่วนหนึ่งร่างกายสามารถผลิตได้เองเวลาเจอแสงแดดในช่วงเช้า และจากอาหารจำพวกน้ำมันตับปลา นม ไข่แดง ปลาทู ปลาแซลมอน  
  • วิตามินอี : ช่วยเกี่ยวกับการบำรุงผิวพรรณ เป็นสารต้านอนุมูลอิสระที่ดี ป้องกันเซลล์ในร่างกายไม่ให้ถูกทำลาย วิตามินอีพบมากในอะโวคาโด ถั่วต่างๆ เมล็ดทานตะวัน เนยถั่ว งา และน้ำมันสำหรับปรุงอาหาร เช่น น้ำมันดอกทานตะวัน น้ำมันมะกอก
  • วิตามินเค : ช่วยในการแข็งตัวของเลือดและกระดูก หากขาดเลือดจะออกง่ายเลือดไหลแล้วหยุดช้า พบในผักใบเขียว มะเขือเทศ ดอกกะหล่ำ ไข่แดง น้ำมันถั่ว ตับ เนื้อหมู 
กลุ่มคนเสี่ยงขาดวิตามิน 
  • ผู้สูงอายุ เกิดจากร่างกายที่ต้องการใช้วิตามินมากขึ้น เพื่อนำมาทดแทน และใช้ประโยชน์ต่อส่วนต่างๆของร่างกายที่สึกหรอ 
  • หญิงตั้งครรภ์ เนื่องจากร่างกายจะต้องนำสารอาหารส่วนหนึ่งไปให้เด็กในครรภ์ ส่งผลให้ร่างกายต้องการวิตามินมากขึ้น โดยผู้ที่ตั้งครรภ์ควรปรึกษาแพทย์เพื่อรับประทานอาหารเสริมให้ได้สารอาหารครบถ้วนทั้งคุณแม่และลูกในครรภ์
  • พฤติกรรมที่ทำให้ร่างกายสูญเสียวิตามินอย่างรวดเร็ว เช่น ดื่มสุรา สูบบุหรี ดื่มเครื่องดื่มที่มีคาเฟอีนมาก 
  • ผู้ที่รับประทานมังสวิรัติ จำเป็นต้องมีความรู้ทางด้านโภชนาการมากขึ้นว่าในกลุ่มอาหารที่กินนั้นขาดสารอาหารประเภทใด เพื่อให้ได้รับสารอาหาร และวิตามินทดแทนที่เพียงพอ
  • ผู้ที่มีโรคภัยไข้เจ็บ เช่น คนที่ท้องเสียจะสามารถดูดซึมวิตามินได้น้อยลง หรือผู้ที่มีอาการลำไส้อักเสบ เป็นโรคตับ คนกลุ่มนี้จะสร้างวิตามินได้น้อยลง
การที่ร่างกายได้รับวิตามินที่เพียงพอ จะช่วยให้ทุกส่วนของร่างกายทำงานได้อย่างเต็มที่จากภายใน ส่งผลให้ผิวพรรณสดใส แข็งแรง ปราศจากโรคภัยต่างๆ หากคุณต้องการความรู้เพิ่มเติมเกี่ยวกับการรับประทานอาหารเสริม หรือวิตามินที่ร่างกายคุณขาด สามารถเข้ามารับคำปรึกษาได้ที่ พรีโมแคร์ เมดิคอล คลินิก เพื่อเข้าร่วมโปรแกรม Personalized Lifestyle Medicine ที่ออกแบบมาเพื่อเฉพาะบุคคล เราพร้อมดูแลรักษาสุขภาพร่างกาย และจิตใจของท่านให้แข็งแรงอย่างครบถ้วน สามารถสอบถามหรือนัดหมายล่วงหน้าที่นี่ 
 

Reference

บทความที่เกี่ยวข้อง

Categories
Uncategorized

First Aid : การปฐมพยาบาลเบื้องต้น ช่วยเหลือชีวิตอย่างเร่งด่วน

    /    บทความ    /    First Aid : การปฐมพยาบาลเบื้องต้น ช่วยเหลือชีวิตอย่างเร่งด่วน

ภาวะข้อไหล่ติดรักษาได้ด้วยกายภาพบำบัด

First Aid : การปฐมพยาบาลเบื้องต้น ช่วยเหลือชีวิตอย่างเร่งด่วน

การปฐมพยาบาลคือให้การช่วยเหลือเบื้องต้น เมื่อพบอุบัติเหตุแก่ผู้บาดเจ็บก่อนนำส่งโรงพยาบาล เพื่อป้องกันไม่ให้เกิดการบาดเจ็บเพิ่มขึ้น พิการ หรือเสียชีวิต ในการช่วยเหลืออาจใช้อุปกรณ์เท่าที่หาได้ในขณะนั้น เพื่อประคับประคองอาการของผู้ป่วยจนกว่าจะได้รับการรักษาจากบุคลากรทางการแพทย์ หรือถูกส่งต่อเพื่อเข้ารับการรักษาในโรงพยาบาลอย่างเร่งด่วน

การปฐมพยาบาลเบื้องต้น (First Aid)

การปฐมพยาบาล หมายถึง การให้ความช่วยเหลือผู้ป่วยหรือผู้บาดเจ็บ ณ สถานที่เกิดเหตุ โดยใช้อุปกรณ์เท่าที่จะหาได้ในขณะนั้น ก่อนที่ผู้บาดเจ็บจะได้รับการดูแลรักษาจากบุคลากรทางการแพทย์ หรือส่งต่อไปยังโรงพยาบาล โดยมีวัตถุประสงค์ที่สำคัญคือ

  • เพื่อช่วยชีวิต
  • เพื่อเป็นการลดความรุนแรงของการบาดเจ็บหรือการเจ็บป่วย
  • เพื่อทำให้บรรเทาความเจ็บปวดทรมาน และช่วยให้กลับสู่สภาพเดิมโดยเร็ว
  • เพื่อป้องกันความพิการที่จะเกิดขึ้นตามมาภายหลัง
ทั้งนี้ผู้ปฐมพยาบาลมีหน้าที่ช่วยเหลือผู้บาดเจ็บหรือผู้ป่วยฉุกเฉินเท่านั้น จะหมดหน้าที่เมื่อผู้บาดเจ็บปลอดภัยหรือได้รับการรักษาจากแพทย์หรือสถานพยาบาลแล้ว ขอบเขตหน้าที่ของผู้ปฐมพยาบาลมี 2 ประการ ดังนี้

1. วิเคราะห์สาเหตุและความรุนแรงของอุบัติเหตุที่เกิดขึ้น เพื่อเป็นแนวทางในการช่วยเหลือได้ถูกต้อง

1.1 ซักประวัติของอุบัติเหตุ จากผู้ที่อยู่ในเหตุการณ์หรือผู้บาดเจ็บที่รู้สึกตัวดี
1.2 ซักถามอาการผิดปกติหลังได้รับอุบัติเหตุ เช่น ปวดศีรษะ คลื่นไส้ อาเจียน ปวดมากที่บริเวณใด 
1.3 ตรวจร่างกายผู้บาดเจ็บทุกครั้งก่อนให้การปฐมพยาบาล โดยตรวจตั้งแต่ศีรษะจรดปลายเท้า เพื่อค้นหาสิ่งผิดปกติที่เกิดขึ้น เช่น อาการบวม บาดแผล กระดูกหัก เป็นต้น

2. ช่วยเหลือผู้บาดเจ็บ โดยช่วยเป็นลำดับขั้นดังนี้

2.1 ถ้าผู้บาดเจ็บอยู่ในบริเวณที่มีอันตรายต้องเคลื่อนย้ายออกมาก่อน เช่น ตึกพังถล่มลงมา ไฟไหม้ในโรงภาพยนต์ เป็นต้น
2.2 ช่วยชีวิต โดยจะตรวจดูลักษณะการหายใจ ว่ามีการอุดตันของทางเดินหายใจหรือไม่ หัวใจหยุดเต้นหรือไม่ 
2.3 ช่วยมิให้เกิดอันตรายมากขึ้น โดยใช้วิธีการสังเกตุความผิดปกติของผู้ที่ได้รับบาดเจ็บ  

  • หากมีกระดูกหักต้องเข้าเฝือกก่อน เพื่อมิให้มีการฉีกขาดของเนื้อเยื่อมากขึ้น 
  • ถ้ามีบาดแผลต้องคลุมด้วยผ้าสะอาด เพื่อมิให้ฝุ่นละอองเข้าไปทำให้ติดเชื้อ 
  • ในรายที่สงสัยว่ามีการหักของกระดูกสันหลัง ต้องให้อยู่นิ่งที่สุด และถ้าจะต้องเคลื่อนย้ายจะต้องให้แนวกระดูกสันหลังตรง โดยนอนราบบนพื้นไม้แข็ง มีหมอนหรือผ้าประคองศีรษะมิให้เคลื่อนไหว 
หลักทั่วไปในการปฐมพยาบาล

วิธีการปฐมพยาบาลเบื้องต้นต้องดูตามอาการซึ่งแตกต่างกัน โดยผู้ที่ให้ความช่วยเหลือต้องมีสติ คิดหาวิธีรับมือ และตัดสินใจให้เหมาะสมกับสถานการณ์มากที่สุด เพื่อความปลอดภัยของผู้ที่ได้รับบาดเจ็บ โดยสามารถปฏิบัตืตามหลักการต่างๆ ดังนี้

  • เมื่อพบผู้ป่วยหรือผู้บาดเจ็บ ต้องรีบช่วยเหลือทันที ยกเว้นในกรณีที่มีอุปสรรคต่อการช่วยเหลือ เช่น มีแก็สพิษ มีวัสดุกีดขวาง ให้ย้ายผู้ป่วยออกมาในที่ปลอดภัยเสียก่อนจึงดำเนินการช่วยเหลือ
  • ช่วยเหลือผู้บาดเจ็บในกรณีที่จะมีอันตรายต่อชีวิตโดยรีบด่วนก่อน
  • หลีกเลี่ยงกลุ่มคนจำนวนมาก เพื่อให้ผู้ป่วยมีอากาศปลอดโปร่ง มีแสงสว่างเพียงพอ และมีบริเวณกว้างขวางเพียงพอ อีกทั้งสะดวกในการให้การปฐมพยาบาลด้วย
  • จัดให้ผู้บาดเจ็บอยู่ในท่าที่เหมาะสมในการปฐมพยาบาล และไม่เพิ่มอันตรายแก่ผู้บาดเจ็บด้วย ควรจัดให้อยู่ในท่านอนหงายและทางเดินหายใจโล่ง พร้อมทั้งสังเกตอาการต่างๆ ของผู้บาดเจ็บ และวางแผนการให้การช่วยเหลืออย่างมีสติ ไม่ตื่นเต้นตกใจ สังเกตสิ่งแวดล้อมว่ามีสิ่งของอันตรายอยู่ใกล้เคียงหรือไม่ 
  • บันทึกรายละเอียดเกี่ยวกับเหตุการณ์ อาการ ลักษณะของผู้บาดเจ็บเกี่ยวกับการปฐมพยาบาลที่ได้ทำลงไป พร้อมทั้งนำติดตัวไปกับผู้บาดเจ็บเสมอเพื่อประโยชน์ในการรักษาต่อไป
  • อย่าทำการรักษาด้วยตนเอง ให้เพียงการปฐมพยาบาลที่จำเป็นอย่างถูกต้อง แล้วนำผู้บาดเจ็บส่งโรงพยาบาลทันที
การช่วยเหลือเมื่อพบผู้ป่วยไม่หายใจและไม่มีชีพจร

Cardiopulmonary Resuscitation หรือ CPR คือ การปฐมพยาบาลเพื่อช่วยเหลือผู้ที่หยุดหายใจหรือหัวใจหยุดเต้นให้กลับมาหายใจ และมีการไหลเวียนออกซิเจนรวมทั้งเลือดกลับคืนสู่สภาพเดิม พร้อมทั้งป้องกันเนื้อเยื่อไม่ให้ได้รับอันตรายจากการขาดออกซิเจนอย่างถาวร

  1. เปิดทางเดินหายใจกดหน้าผากยกคาง
  2. ถ้ามีสิ่งแปลกปลอมในปากให้ล้วงออก
  3. ผายปอด 2 ครั้ง
  4. ตรวจพบไม่มีชีพจร ให้นวดหัวใจและผายปอด
  5. กดหน้าอก 30 ครั้ง สลับกับการผายปอด 2 ครั้ง พร้อมตรวจชีพจรและการหายใจเป็นระยะ 
การปฐมพยาบาลเมื่อถูกไฟไหม้ หรือน้ำร้อนลวก

บาดแผลไฟไหม้ น้ำร้อนลวก โดยมากมักจะมีสาเหตุจากอุบัติเหตุ อาการบาดเจ็บจะมีความรุนแรงมากน้อยเพียงใดขึ้นกับหลายปัจจัย เช่น ระยะเวลาที่ผิวหนังสัมผัสกับความร้อน อวัยวะที่ได้รับบาดเจ็บ ดีกรีความลึกของบาดแผล และขนาดความกว้างพื้นที่ของบาดแผลไฟไหม้ น้ำร้อนลวก

  1. ล้างด้วยน้ำสะอาดที่อุณหภูมิปกติ
  2. หลังจากนั้นซับด้วยผ้าแห้งสะอาด แล้วสังเกตว่าถ้าผิวหนังมีรอยถลอก มีตุ่มพองใส หรือมีสีของผิวหนังเปลี่ยนไป ควรรีบไปพบแพทย์
  3. ไม่ควรใส่ตัวยา/สารใดๆ ทาลงบนบาดแผล ถ้าไม่แน่ใจในสรรพคุณที่ถูกต้องของยาชนิดนั้น  เพราะสิ่งเหล่านี้จะทำให้เกิดอาการระคายเคืองต่อบาดแผล เพิ่มโอกาสการเกิดบาดแผลติดเชื้อ และทำให้รักษาได้ยากขึ้น และไม่ควรเจาะตุ่มน้ำด้วยตนเอง
การปฐมพยาบาลหกล้มแผลถลอก

เมื่อหกล้มอาจมีแผลถลอกได้เช่น ที่บริเวณหัวเข่า ข้อศอก แผลลักษณะนี้จะมีผิวหนังลอกหลุด มีเลือดออกเล็กน้อย อาจมีสิ่งสกปรกที่แผล ถ้าปล่อยทิ้งไว้อาจเกิดการติดเชื้อมีหนองได้ การปฐมพยาบาลเบื้องต้นก่อนพบแพทย์จึงถือเป็นเรื่องสำคัญ

  1. ล้างแผลด้วยน้ำสะอาดและสบู่ เพื่อให้สิ่งสกปรกออกให้หมด
  2. ใช้ผ้าสะอาดกดแผลห้ามเลือดให้หยุดไหล
  3. ใส่ยาสำหรับแผลสด
  4. ปิดแผลด้วยพลาสเตอร์หรือผ้าสะอาด
หากท่านได้รับอุบัติเหตุ ต้องการที่จะทำการปฐมพยาบาลเบื้องต้น สามารถเข้ามารับคำแนะนำ หรือรับการรักษาโดยแพทย์ได้ที่ พรีโมแคร์ เมดิคอล คลินิก เรามีความชำนาญและมีความรู้ในด้านการดูแลสุขภาพ ภายใต้การดูเเลอย่างใกล้ชิดจากบุคลากรทางการเเพทย์ของพรีโมเเคร์  สามารถสอบถามหรือนัดหมายล่วงหน้าที่นี่ 

Reference

บทความที่เกี่ยวข้อง

Categories
Uncategorized

HOW-TO ฟื้นฟูร่างกายจากอาการ ลองโควิด (Long COVID)

    /    บทความ    /    HOW-TO ฟื้นฟูร่างกายจากอาการ ลองโควิด (Long COVID)

ภาวะข้อไหล่ติดรักษาได้ด้วยกายภาพบำบัด

HOW-TO ฟื้นฟูร่างกายจากอาการ ลองโควิด (Long COVID)

อีกสิ่งหนึ่งที่น่ากลัวพอๆกับการติดโควิดคือ อาการหลังจากติดเชื้อโควิด-19 หรือที่เรียกว่าลองโควิด ที่จะมีอาการที่สามารถสังเกตได้ชัดคือ อ่อนเพลียเรื้อรังต่อเนื่อง หายใจไม่ทัน หอบเหนื่อย มีภาวะซึมเศร้าหรือวิตกกังวล เป็นต้น ซึ่งอาการเหล่านี้อาจไม่ได้เกิดกับทุกคนที่เคยติดเชื้อโควิด 

อย่างไรก็ตามผู้ที่เคยติดเชื้อโควิด ถือเป็นผู้ที่มีความเสี่ยงที่จะเกิดอาการลองโควิด ซึ่งอาจเกิดหลังจากที่ได้รับเชื้อมาแล้ว 4-12 สัปดาห์ขึ้นไป ทั้งนี้การฟื้นฟูร่างกายถือเป็นสิ่งสำคัญสำหรับผู้ป่วย ด้วยการเลือกรับประทานอาหารที่มีประโยชน์ และรับประทานอาหารเสริมเพื่อสร้างภูมิต้านทานให้ร่างกายแข็งแรง และกลับมาฟื้นฟูได้อย่างปลอดภัย

ลองโควิด (Long COVID)

อาการลองโควิด (Long COVID) หรือ Post COVID-19 Syndrome คือ อาการทางร่างกายและทางจิตใจ ที่หลงเหลืออยู่หลังหายจากการติดเชื้อโควิด-19 โดยตัวอย่างอาการของ ‘ลองโควิด’ ได้แก่

  • อาการอ่อนเพลีย
  • อาการไอเรื้อรัง
  • อาการหายใจถี่ หายใจไม่ทัน หรือหอบเหนื่อยง่ายมากขึ้น
  • การรับรสชาติอาหารเปลี่ยนไป หรือพบอาการชาที่ลิ้นในบางราย
  • ปวดท้อง ท้องเสีย ไม่อยากอาหาร
  • มีอาการปวดเมื่อนตามตัว หรือมีผื่นตามตัว
  • นอนไม่หลับ มีภาวะซึมเศร้า วิตกกังวล หรือมีผลกระทบทางจิตใจ (Post-Traumatic Stress Disorder)

ทั้งนี้อาการลองโควิด เป็นผลจากความผิดปกติภายในร่างกาย เนื่องจากร่างกายยังฟื้นฟูไม่เต็มที่ ผู้ที่เคยติดเชื้อโควิดจึงควรให้ความสำคัญกับการสังเกตอาการตนเอง พบแพทย์เพื่อประเมินสภาพร่างกาย และวางแผนการฟื้นฟูที่ถูกต้อง โดยผู้ป่วยสามารถนำแนวทางในการพักฟื้นหลังติดเชื้อโควิด-19 มาปฏิบัติได้ ดังนี้

  • สังเกตอาการอยู่บ้าน อย่างน้อย 5 วัน โดยให้สวมหน้ากากอนามัย ล้างมือให้สะอาด และเว้นระยะห่างระหว่างบุคคล
  • สังเกตอาการผิดปกติต่างๆอย่างต่อเนื่อง เช่น ไข้สูง ไอมาก หอบเหนื่อย เจ็บแน่นหน้าอก หน้ามืดเป็นลม แขนขาอ่อนแรง หากมีอาการควรพบแพทย์เพื่อประเมินสภาพร่างกาย
  • ผู้ป่วยที่มีโรคประจำตัว เช่น ความดันโลหิตสูง เบาหวาน โรคหลอดเลือดหัวใจ ควรกลับเข้ามารับการประเมินสุขภาพให้ครบถ้วน และควรรับการรักษาโรคประจำตัวนั้นอย่างต่อเนื่อง
  • ดูแลสุขภาพจิต หากผู้ป่วยที่มีความเครียด หรือมีปัญหาสะสม สามารถติดต่อพูดคุยกับจิตแพทย์เพื่อประเมินและฟื้นฟูสภาพจิตใจ
 จะทราบได้อย่างไรว่ามีอาการลองโควิด?

จากรายงานผู้ป่วยโควิด-19 ที่รักษาตัวหายแล้ว โดยกลุ่มเสี่ยงที่อาจเกิดภาวะลองโควิด ได้แก่ ผู้ป่วยที่มีอาการหนักจนต้องเข้ารับการรักษาในโรงพยาบาล โดยเฉพาะในกรณีที่เชื้อลงปอดแล้วเกิดภาวะปอดอักเสบรุนแรง, ผู้ป่วยที่มีโรคเรื้อรังต่างๆ และผู้ป่วยที่ยังไม่เคยได้รับวัคซีนป้องกันโควิด โดยสามารถแบ่งออกได้เป็น 2 กลุ่ม ดังนี้
  • กลุ่มที่ 1 จะยังคงมีอาการแสดงหลังรักษาโควิด-19 หายแล้ว โดยจะยังมีอาการภายใน 4 สัปดาห์ และจะค่อยๆ ดีขึ้น
  • กลุ่มที่ 2  ยังคงมีอาการต่อเนื่องมากกว่า 1 เดือน และอาการจะหายช้า ซึ่งจะพบมากในผู้สูงอายุ ผู้ที่มีภาวะอ้วน หรือน้ำหนักเกิน และผู้ที่มีโรคประจำตัว ซึ่งกลุ่มที่มีอาการมากกว่า 4-6 สัปดาห์ จะเป็นอาการที่เรียกว่า Post COVID Syndrome หรือ Long COVID อาการหลงเหลือหลังติดเชื้อโควิด-19
 การป้องกันโรคลองโควิด

อาการลองโควิดจะมีอาการอ่อนเพลีย เหนื่อยง่าย ปวดหัว ทั้งนี้ผู้ที่เคยติดเชื้อโควิด-19 สามารถป้องกันอาการลองโควิดได้ โดยการดูแลสุขภาพร่างกายให้แข็งแรงและสร้างเสริมภูมิคุ้มกันโรคของตนเองอยู่เสมอ ดังนี้

  • ทานอาหารที่ดีมีประโยชน์ครบ 5 หมู่ ปรุงสุก สะอาด เน้นอาหารย่อยง่าย เนื่องจากอาจมีความผิดปกติของระบบทางเดินอาหาร หากมีอาการเบื่ออาหาร ควรแบ่งอาหารเป็นมื้อ เพื่อรักษาระดับน้ำตาลในเลือดให้คงที่ตลอดวัน ไม่ให้ร่างกายอ่อนล้า อ่อนเพลีย
  • เลือกทานอาหารที่มีโปรตีน เช่น เนื้อสัตว์ ไข่ ถั่วต่าง ๆ เต้าหู้ 
  • บริโภคอาหารที่มีจุลินทรีย์ที่ดีต่อสุขภาพ หรือโพรไบโอติกส์ (Probiotics) ได้แก่ โยเกิร์ต นมเปรี้ยว
  • ทานอาหารที่มีใยอาหารสูง เช่น ธัญพืช ถั่วเมล็ดแห้ง กล้วย หัวหอมใหญ่ กระเทียม เป็นต้น เพื่อเป็นอาหารให้จุลินทรีย์ที่ดีต่อสุขภาพ และยังช่วยระบบภูมิคุ้มกันของร่างกาย
  • งดสูบบุหรี่หรือดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ ที่ส่งผลทำให้ภูมิคุ้มกันในร่างกายลดต่ำลง
ทั้งนี้ การบริโภควิตามินและแร่ธาตุต่างๆ มีส่วนช่วยให้ร่างกายฟื้นฟู แข็งแรง และสร้างภูมิคุ้มกันได้เช่นกัน โดยวิตามินและแร่ธาตุสร้างภูมิคุ้มกัน ที่ควรบริโภคหลังติดเชื้อโควิด-19 เพื่อป้องกันภาวะลองโควิด ได้แก่

  1. วิตามินซี พบมากในผักและผลไม้สด เช่น ส้ม มะละกอ ฝรั่ง มะนาว มะเขือเทศ พริกหวาน เป็นต้น ควรกินแบบสด หากนึ่งหรือผัด ควรใช้ระยะเวลาสั้น ๆ เพื่อรักษาคุณค่าจากวิตามินซีไว้ได้ดียิ่งขึ้น
  2. วิตามินเอ เช่น เครื่องในสัตว์ ไข่แดง นม ผลิตภัณฑ์จากนม ผักใบเขียวเข้ม ผักและผลไม้สีเหลืองและสีส้ม เช่น ตําลึง ผักบุ้ง แครอท ฟักทอง มันเทศสีเหลือง มะละกอสุก เป็นต้น
  3. วิตามินดี ได้แก่ ปลานิล ปลาทับทิม เห็ด ไข่แดง เป็นต้น
  4. วิตามินอี ได้แก่ ไข่ ผักและผลไม้ต่าง ๆ เช่น ถั่วต่าง ๆ นํ้ามันถั่วเหลือง นํ้ามันมะกอก นํ้ามันดอกทานตะวัน อะโวคาโด เป็นต้น
  5. แร่ธาตุสังกะสี ได้แก่ เนื้อสัตว์ เครื่องใน ตับ หอยนางรม ข้าวกล้อง เป็นต้น
นอกจากนี้หลังจากติดเชื้อ 2 สัปดาห์ – 1 เดือน สามารถปรึกษาแพทย์ให้แนะนำเกี่ยวกับการเลือกรับประทานวิตามินและอาหารเสริมเป็นรายบุคคล วางใจให้พรีโมแคร์เป็นเพื่อนร่วมเดินทาง เคียงข้าง สร้างสุขภาพดีไปกับคุณ หากท่านต้องการที่จะนัดหมายเพื่อปรึกษาพูดคุยกับแพทย์ เพื่อสอบถามบริการ หรือข้อมูลเพิ่มเติมเกี่ยวกับอาการโควิด-19 สามารถเข้ามารับคำแนะนำได้ที่ พรีโมแคร์ เมดิคอล คลินิก เราพร้อมดูแลรักษาสุขภาพร่างกาย และจิตใจของท่านให้แข็งแรงอย่างครบถ้วน สามารถสอบถามหรือนัดหมายล่วงหน้าที่นี่ 

Reference

บทความที่เกี่ยวข้อง