Categories
Uncategorized

กายภาพบำบัด ศาสตร์แห่งการฟื้นฟูสุขภาพ

    /    บทความ    /    กายภาพบำบัด ศาสตร์แห่งการฟื้นฟูสุขภาพ

กายภาพบำบัด ศาสตร์แห่งการฟื้นฟูสุขภาพ

กายภาพบำบัด ศาสตร์แห่งการฟื้นฟูสุขภาพ

กายภาพบำบัดคือศาสตร์ที่ให้การดูแลผู้ป่วยแบบองค์รวม ทั้งในแง่ของการป้องกัน รักษา ฟื้นฟู และส่งเสริมสุขภาพด้วยวิธีการต่างๆ ทางกายภาพ เช่น การออกกำลังกาย การนวด การใช้เครื่องมือเพื่อเพิ่มการเคลื่อนไหวของข้อต่อและกระดูก โดยเป้าหมายหลักของนักกายภาพบำบัดคือการเพิ่มคุณภาพชีวิตของผู้ป่วย โดยจะช่วยส่งเสริมการดูแลสุขภาพ บรรเทาความเจ็บปวด ฟื้นฟูร่างกายให้กลับมาทำงานตามปกติ รวมถึงป้องกันการเสื่อมสภาพของร่างกาย

ความสำคัญของกายภาพบำบัด

กายภาพบำบัดไม่ได้จำกัดแค่การรักษาและฟื้นฟูร่างกายจากการเจ็บป่วยหรืออุบัติเหตุเท่านั้น แต่ยังรวมถึงการส่งเสริมสุขภาพและป้องกันปัญหาที่อาจส่งผลต่อการเคลื่อนไหวของร่างกาย เช่น การบริหารร่างกายเพื่อป้องกันอาการบาดเจ็บ การแนะนำวิธีการออกกำลังกายที่ถูกต้อง เป็นต้น

  • ป้องกันโรค นักกายภาพบำบัดสามารถช่วยลดการเกิดภาวะแทรกซ้อนของโรค โดยการให้การวินิจฉัย การรักษา และการแนะนำความรู้แก่ผู้ป่วย รวมทั้งให้คำแนะนำเกี่ยวกับวิธีการป้องกันโรคแก่ผู้ที่มีภาวะเสี่ยง เช่น การให้ความรู้ในการป้องกันอาการปวด การบาดเจ็บของกล้ามเนื้อ การให้ความรู้ในการป้องกันการบาดเจ็บจากการเล่นกีฬา เป็นต้น
  • บำบัดรักษา เกี่ยวข้องกับผู้ป่วยที่มีปัญหาของระบบต่างๆ ในร่างกาย เช่น ระบบกระดูกและกล้ามเนื้อ ระบบประสาท ระบบหัวใจและหลอดเลือด ระบบหายใจ เป็นต้น โดยจะใช้วิธีการทางกายภาพบำบัด รวมถึงการใช้เครื่องมือทางการแพทย์เพื่อบรรเทาอาการปวดด้วย
  • ฟื้นฟูสมรรถภาพร่างกายและจิตใจ เพื่อให้ผู้ป่วยสามารถดำรงชีวิตอยู่ในสังคมได้ด้วยตนเอง สามารถช่วยเหลือตัวเองได้มากที่สุด เป็นภาระหรือพึ่งพิงผู้อื่นน้อยที่สุด

วิธีการรักษาทางกายภาพบำบัด

กายภาพบำบัดเป็นศาสตร์อีกแขนงหนึ่งที่ดูแลผู้ป่วยอย่างต่อเนื่องในทุกระยะของการรักษา ตั้งแต่การซักประวัติเพื่อหาสาเหตุที่แท้จริง การฟื้นฟูสุขภาพให้กลับมาสมบูรณ์ที่สุด ไปจนถึงการป้องกันไม่ให้กลับไปเป็นซ้ำ

  • เทคนิคบำบัดด้วยมือ (Manual Therapy) วิธีนี้คือการทำกายภาพบำบัดด้วยมือ เพื่อช่วยให้ร่างกายผ่อนคลาย ลดอาการเจ็บปวด และเพิ่มความยืดหยุ่นให้แก่ร่างกาย เทคนิคบำบัดด้วยมือประกอบด้วย 
  1. การนวด (Massage) นักกายภาพบำบัดจะนวดให้ผู้ป่วย โดยออกแรงกดลงไปตามร่างกาย การนวดจะช่วยให้กล้ามเนื้อคลายตัว เพิ่มการไหลเวียนเลือด และลดอาการเจ็บปวดได้บ้าง
  2. ขยับข้อต่อ (Mobilization) สำหรับผู้ป่วยที่เนื้อเยื่อเกิดอาการตึงหรือข้อติด จะได้รับการขยับข้อต่อโดยนักกายภาพบำบัดจะพิจารณากระดูกและข้อต่อ และบิด ดึง หรือดันกระดูกและข้อต่อให้กลับเข้าตำแหน่ง
  3. ดัดข้อต่อ (Manipulation) นักกายภาพบำบัดจะออกแรงกดไปที่ข้อต่อ โดยอาจใช้มือหรืออุปกรณ์พิเศษ รวมทั้งอาจลงน้ำหนักเบาหรือแรงเพื่อดัดข้อต่อแตกต่างกันอย่างระมัดระวัง
  • Shockwave therapy : เครื่องมือที่ใช้การส่งผ่านคลื่นกระแทก ในบริเวณที่มีอาการปวด เพื่อกระตุ้นให้เกิดกระบวนการซ่อมสร้างเนื้อเยื่อใหม่ และลดอาการอักเสบที่กล้ามเนื้อ
  • Ultrasound therapy : เป็นเครื่องรักษาด้วยคลื่นเสียงความถี่สูง ช่วยเพิ่มความยืดหยุ่นของเนื้อเยื่อ เพิ่มการไหลเวียนเลือด ลดการอักเสบและลดปวด
  • ออกแบบท่าออกกำลังกายเฉพาะบุคคล : เพื่อการบำบัดลดอาการปวด การออกกำลังกายเพื่อการบำบัดรักษา คือการเคลื่อนไหวส่วนใดส่วนหนึ่งหรือทุกส่วนของร่างกายเพื่อการบำบัดรักษา ลดอาการของผู้ป่วย หรือช่วยเพิ่มประสิทธิภาพการทำงานของร่างกายให้ดีขึ้น
  • การฝึกผู้ป่วย : ผู้ที่เข้ารับการทำกายภาพบำบัดจะได้รับการฝึกเคลื่อนไหวร่างกายด้วยการออกกำลังกาย เพื่อช่วยฟื้นฟูอาการบาดเจ็บและปัญหาสุขภาพ ฝึกใช้อุปกรณ์เสริมที่ช่วยในการเคลื่อนไหว ฝึกทำกิจกรรมในชีวิตประจำวันได้อย่างปลอดภัย รวมทั้งจัดสภาพแวดล้อมของที่อยู่อาศัยให้ปลอดภัย

กายภาพบำบัดที่พรีโมแคร์

การทำกายภาพบำบัดใช้รักษาผู้ที่มีปัญหาสุขภาพเกี่ยวกับอาการปวดหลัง ปวดคอ ได้รับบาดเจ็บ ช่วยให้ข้อต่อของผู้ป่วยเคลื่อนไหวได้ดีขึ้น รวมทั้งฟื้นฟูและเสริมสร้างความยืดหยุ่น ความแข็งแรง ความทนทาน ความสมดุลในการเคลื่อนไหวของร่างกาย และการทำงานประสานกันระหว่างระบบประสาทและกล้ามเนื้อ 

  • ตรวจวิเคราะห์โครงสร้างร่างกาย
  • ตรวจประเมินการทำงานของกล้ามเนื้อ กระดูก ข้อต่อ และระบบประสาท
  • ปรับโครงสร้าง รักษาอาการบาดเจ็บ
  • เพิ่มความแข็งแรงและยืดหยุ่นของกระดูกสันหลังและกล้ามเนื้อ
  • การรักษาด้วยคลื่นอัลตราซาวด์ (Ultrasound) 
  • การบำบัดด้วยพลังงานคลื่นกระแทก (Shockwave)
  • ออกแบบท่าออกกำลังกายเฉพาะบุคคล
หากท่านต้องการนัดหมายเพื่อเข้ารับบริการกายภาพบำบัด สามารถเข้ามารับคำแนะนำได้ที่พรีโมแคร์ เมดิคอล คลินิก เราพร้อมดูแลรักษาสุขภาพกายและใจของท่านอย่างครบถ้วน
 

Reference:

บทความที่เกี่ยวข้อง

Categories
Uncategorized

ควบคุมอาหารแบบปลอดภัย ผลลัพธ์ยืนยาว

    /    บทความ    /    ควบคุมอาหารแบบปลอดภัย ผลลัพธ์ยืนยาว

ควบคุมอาหารแบบปลอดภัย ผลลัพธ์ยืนยาว

ควบคุมอาหารแบบปลอดภัย ผลลัพธ์ยืนยาว

การควบคุมอาหารเป็นวิธีการลดนํ้าหนักที่ถูกต้อง ง่าย ได้ผลดี และไม่สิ้นเปลืองค่าใช้จ่าย ได้แก่การลดปริมาณอาหารลง แต่ควรลดแบบถูกวิธี โดยการรับประทานอาหารให้ครบสามมื้อ และมีคุณค่าทางโภชนาการครบถ้วนตามที่ร่างกายต้องการ  

ใครที่ควรควบคุมน้ำหนัก?

องค์การอนามัยโลก (WHO) ได้กำหนดให้คนที่มีค่าดัชนีมวลกาย (BMI) ต่ำกว่า 18.5 จัดเป็นน้ำหนักตัวน้อย (Underweight) และมากกว่าหรือเท่ากับ 25 จัดเป็นน้ำหนักตัวเกิน (Overweight) และได้แบ่งความรุนแรงของน้ำหนักตัวเกิน (Overweight) เป็น 4 ระดับ สำหรับประเทศไทย มีการกำหนดค่า BMI ดังนี้

  • น้อยกว่า 18.5 : น้ำหนักน้อย
  • 18.5 – 22.9 : น้ำหนักปกติ
  • 23 – 24.9 : น้ำหนักเกิน
  • มากกว่า 25 : อ้วน
ทั้งนี้ ข้อจำกัดของ BMI คือ ไม่สามารถวัดปริมาณไขมันในร่างกายได้ เช่น นักกีฬาที่มีมวลกล้ามเนื้อมาก อาจมีค่า BMI สูง โดยไม่ได้แสดงถึงปริมาณไขมันในร่างกายจริงๆ หรือผู้สูงอายุมีแนวโน้มที่จะมีปริมาณกล้ามเนื้อลดลง ดังนั้นจึงไม่ควรดูค่า BMI เพียงอย่างเดียว ควรดูที่มวลไขมัน เนื่องจากน้ำหนักของกล้ามเนื้อมีมากกว่าไขมันถึง 7 เท่า ในกรณีที่มีมวลเท่ากัน โดยเป้าหมายหลักของการลดน้ำหนักคือการลดไขมันในร่างกาย โดยไม่ลดมวลกล้ามเนื้อ มวลกระดูกและน้ำจากร่างกาย
 

ควบคุมอาหารอย่างไรให้ปลอดภัย ผลลัพธ์ยืนยาว

การรักษาน้ำหนักตัวให้อยู่ในเกณฑ์ ทำได้โดยการรับประทานอาหารให้เหมาะสม ควบคู่ไปกับการออกกำลังกายอย่างต่อเนื่องและสม่ำเสมอ ประมาณ 20-30 นาที/ครั้ง (สัปดาห์ละ 3-5 ครั้ง) ดังนั้น จึงควรหมั่นชั่งน้ำหนักตัวเป็นระยะ อย่างน้อยเดือนละครั้ง  เพื่อการดูแลสุขภาพและรักษาน้ำหนักตัวให้อยู่ในเกณฑ์ปกติ

  1. ทานอาหารให้ครบ 5 หมู่ และดูแลน้ำหนักตัว ทานอาหารให้ครบ 5 หมู่ และรับประทานแต่ละหมู่ให้มีความหลากหลาย เพื่อให้ร่างกายได้รับสารอาหารต่างๆ ครบในปริมาณที่เพียงพอกับความต้องการ และเพื่อลดความเสี่ยงต่อการเกิดโรคหัวใจและหลอดเลือด เบาหวาน ความดันโลหิตสูง  มะเร็งบางชนิด จึงควรหมั่นชั่งน้ำหนักตัวเป็นระยะ อย่างน้อยเดือนละครั้ง เพื่อการดูแลสุขภาพและรักษาน้ำหนักตัวให้อยู่ในเกณฑ์ปกติ
  2. รับประทานพืชผักเป็นประจำ พืชผักและผลไม้ เป็นแหล่งสำคัญของวิตามินและแร่ธาตุ รวมทั้งสารอื่นๆ เช่น สารแอนติออกซิแดนท์ที่ช่วยไม่ให้อนุมูลอิสระทำลายเนื้อเยื่อและผนังเซลล์ เสริมสร้างให้ร่างกายทุกระบบทำงานได้เป็นปกติ ทั้งนี้ผักและผลไม้หลายชนิดให้พลังงานต่ำ หากรับประทานให้หลากหลายจะไม่ทำให้เกิดโรคอ้วน และไขมันอุดตันในเส้นเลือด 
  3. หลีกเลี่ยงการทานอาหารรสหวานจัดและเค็มจัด ส่วนประกอบสำคัญของอาหารรสหวานจัดและเค็มจัด ได้แก่ น้ำตาลและเกลือ เมื่อบริโภคในปริมาณมากจะเป็นสาเหตุที่สำคัญของการเกิดโรคอ้วนและโรคความดันโลหิตสูง ซึ่งวิธีปฏิบัตินอกจากการหลีกเลี่ยงอาหารที่มีรสหวานจัดและเค็มจัดแล้ว  ควรพยายามรับประทานอาหารที่มีรสธรรมดา หรือปรุงรสชาติเพิ่มเติมให้น้อยที่สุด
  4. เลี่ยงการรับประทานไขมันเลว ไขมันอิ่มตัว อาทิ ไขมันจากสัตว์ หรือไขมันที่อยู่ในอาหารฟาสต์ฟู้ดต่างๆ ซึ่งเป็นไขมันที่อันตรายต่อสุขภาพ และทำให้น้ำหนักเพิ่มขึ้น
  5. งดหรือลดเครื่องดื่มที่มีแอลกอฮอล์ เมื่อร่างกายได้รับแอลกอฮอล์ในปริมาณมาก จะส่งผลกระทบต่อระบบการทำงานของสมองและประสาท ก่อให้เกิดโรคตับแข็งและการขาดสารอาหารที่สำคัญหลายชนิด  ดังนั้นควรลดการดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอล์หรือควรหลีกเลี่ยงให้มากที่สุด

ควบคุมอาหารผิดวิธี

พฤติกรรมการลดนํ้าหนักที่ไม่ถูกต้อง คือการใช้ยาลดนํ้าหนัก การอดอาหาร การใช้ผลิตภัณฑ์อาหารเสริม และการดื่มกาแฟลดนํ้าหนัก อาจทำให้น้ำหนักลดลงเร็วมากในช่วงแรก แต่น้ำหนักกลับเพิ่มขึ้นมากกว่าเดิมในระยะยาว การลดน้ำหนัก หรือการควบคุมอาหารที่ผิดวิธีจะส่งผลกระทบที่เป็นอันตรายต่อร่างกาย โดยมีข้อควรระวังต่างๆ ดังนี้

  • การลดน้ำหนักที่ถูกต้องไม่ได้วัดที่น้ำหนัก แต่วัดที่ปริมาณของไขมัน
  • หากพบว่าน้ำหนักลดลงอย่างรวดเร็ว มักเกิดจากการสูญเสียน้ำและกล้ามเนื้อในร่างกาย ส่งผลให้ร่างกายอ่อนเพลีย อยากอาหารมากกว่าเดิม เกิดความรู้สึกเครียดโดยไม่รู้ตัว
  • การลดน้ำหนักอย่างปลอดภัย น้ำหนักควรลดลงไม่เกิน 2-4 กิโลกรัมต่อเดือน
หากท่านต้องการนัดหมายเพื่อเข้ารับการตรวจรักษาจากทีมแพทย์พรีโมแคร์ สามารถเข้ามารับคำแนะนำได้ที่ พรีโมแคร์ เมดิคอล คลินิก เราพร้อมดูแลรักษาสุขภาพกายและใจของท่านอย่างครบถ้วน สามารถสอบถามหรือนัดหมายล่วงหน้า 
 

Reference:

 

บทความที่เกี่ยวข้อง

Categories
Uncategorized

เช็คอาการ อาหารเป็นพิษ ต้องรีบพบแพทย์ด่วน!

    /    บทความ    /    เช็คอาการ อาหารเป็นพิษ ต้องรีบพบแพทย์ด่วน!

เช็คอาการ อาหารเป็นพิษ ต้องรีบพบแพทย์ด่วน!

เช็คอาการ อาหารเป็นพิษ ต้องรีบพบแพทย์ด่วน!

โรคอาหารเป็นพิษ เกิดจากการรับประทานอาหารหรือน้ำที่ปนเปื้อนสารพิษของแบคทีเรียก่อโรคเข้าไป โดยสารพิษเหล่านี้จะเรียกว่า enterotoxin  ซึ่งสารพิษเหล่านี้จะไปกระตุ้นการหลั่งของสารน้ำและเกลือแร่จากเยื่อบุลำไส้เพิ่มขึ้น ทำให้เกิดอาการท้องเสียตามมา สารพิษที่แบคทีเรียสร้างเหล่านี้มักทนต่อความร้อน แม้จะนำอาหารไปอุ่นให้ร้อนก็ไม่สารถทำลายสารพิษได้ โดยมากมักจะเกิดอาการภายใน 6-24 ชั่วโมง

อาการของโรคอาหารเป็นพิษ

ผู้ป่วยส่วนใหญ่จะมีอาการคลื่นไส้อาเจียนนำมาก่อนและเด่นกว่าอาการท้องเสีย อาการคลื่นไส้มีได้ทั้งรุนแรงไม่มากจนถึงรุนแรงมากจนไม่สามารถทานอาหารได้ ส่วนใหญ่มักมีอาการหลังรับประทานอาหารที่สงสัยประมาณ 2-16 ชั่วโมง หลังจากนั้นก็จะมีอาการปวดท้อง ท้องเสียถ่ายเหลวเป็นน้ำตามมา 

  • ถ่ายเหลว หรือถ่ายเป็นน้ำ 
  • ปวดมวนท้อง 
  • คลื่นไส้ อาเจียน 

อาการของโรคอาหารเป็นพิษชนิดรุนแรง

หากเกิดอาการรุนแรงขึ้น เช่น ท้องเสียมาก อาเจียนมาก มีเลือดปนในอาเจียนหรืออุจจาระ แขนขาอ่อนแรง หายใจลำบาก ตามัวมองเห็นไม่ชัด ปวดท้องอย่างรุนแรงร่วมกับมีอาการอ่อนเพลีย ไม่มีแรง กระหายน้ำมาก ลุกเดินไม่ไหว ปัสสาวะออกน้อย ควรรีบพบแพทย์ทันที ไม่ควรซื้อยามารับประทานเอง เพราะอาจทำให้ร่างกายเสียน้ำและเกลือแร่จนเป็นอันตรายได้

ทั้งนี้ภาวะอาหารเป็นพิษอาจทำให้เกิดภาวะขาดน้ำและเกลือแร่จากการถ่ายท้องและการอาเจียน ซึ่งอาจทำให้ร่างกายเกิดภาวะช็อกและเป็นอันตรายต่อชีวิตได้ โดยเฉพาะในเด็กเล็ก ผู้สูงอายุ หรือผู้มีโรคประจำตัวเรื้อรัง เช่น โรคหัวใจ และโรคเบาหวาน

อาหารเสี่ยงต่อการเกิดอาหารเป็นพิษ

อาหารเป็นพิษเป็นเรื่องใกล้ตัวที่สามารถเกิดขึ้นได้กับทุกเพศ ทุกวัย โดยเฉพาะในประเทศเขตร้อนอย่างประเทศไทยที่เชื้อโรคสามารถเจริญเติบโตได้เป็นอย่างดี ดังนั้น จึงควรระมัดระวังการรับประทานอาหารอยู่เสมอ เพื่อป้องกันการเกิดภาวะอาหารเป็นพิษ โดยหลีกเลี่ยงอาหารดังนี้

  • อาหารสด สุกๆ ดิบๆ หรือผ่านความร้อนไม่เพียงพอ
  • อาหารหมักดอง อาหารกระป๋องที่พบว่ามีรอยบุบ รอยรั่ว หรือขึ้นสนิม
  • อาหารที่ผลิตหรือปรุงไม่สะอาดเพียงพอ เช่น ใช้เขียงหั่นเนื้อสัตว์สดกับผักลวกร่วมกัน
  • อาหารที่มีแมลงวันตอม
  • อาหารที่ปรุงสุกตั้งแต่เช้า โดยไม่มีการอุ่นร้อน
  • อาหารที่มีกะทิเป็นส่วนผสมแล้วปรุงทิ้งไว้นานหลายชั่วโมง
  • น้ำแข็งที่ผลิตไม่ได้มาตรฐาน

การป้องกันโรคอาหารเป็นพิษ

เราสามารถป้องกันตนเองจากภาวะ “อาหารเป็นพิษ” ได้ด้วยการเลือกรับประทานอาหารที่ปรุงสุกใหม่ สะอาด เลือกร้านอาหารที่ไว้ใจได้ หลีกเลี่ยงอาหารสุกๆ ดิบๆ หรืออาหารค้างคืน หากทำกับข้าวเองควรเลือกวัตถุดิบที่เป็นของสดใหม่ เก็บใส่ตู้เย็นแยกเป็นหมวดหมู่ 

  • บริโภคอาหารที่ถูกสุขลักษณะ เลือกรับประทานอาหารที่ปรุงสุก สดใหม่ หรือผ่านความร้อน เพื่อช่วยฆ่าเชื้อโรคที่ปนเปื้อนในอาหารก่อนรับประทาน
  • เก็บรักษาอาหารไว้ในที่เย็น เช่น ตู้เย็น เพื่อชะลอการเติบโตของเชื้อโรค หากเก็บอาหารนานเกิน 4 ชั่วโมงหลังปรุงเสร็จ ต้องอุ่นให้ร้อนจัด เพื่อให้ความร้อนฆ่าเชื้อโรคก่อนรับประทานอาหาร 
  • รู้จักเลือกซื้อ บริโภคอาหารที่ปลอดภัย หากต้องเดินทาง หรือสั่งอาหารกล่อง และอย่าปรุงล่วงหน้านาน 
  • เลือกชนิดอาหารที่ไม่บูดเสียง่าย ไม่ควรเป็นอาหารประเภทกะทิ ยำ อาหารสุกๆดิบๆ 
  • มีพฤติกรรมอนามัยที่ดี รักษาความสะอาด เช่น ล้างมือฟอกสบู่ (ก่อนรับประทานอาหาร หรือก่อนปรุงอาหาร)
ทั้งนี้อาการของโรคอาหารเป็นพิษส่วนใหญ่มักไม่รุนแรงและหายได้ภายใน 1 – 2 วัน สามารถดูแลตนเองเบื้องต้นได้ด้วยการดื่มน้ำเกลือแร่ ors และรับประทานอาหารอ่อนๆที่ปรุกสุกสะอาด แต่หากเกิดอาการรุนแรงขึ้น ควรรีบพบแพทย์ทันที

หากท่านต้องการนัดหมายเพื่อเข้ารับการตรวจรักษาจากทีมแพทย์พรีโมแคร์ สามารถเข้ามารับคำแนะนำได้ที่ พรีโมแคร์ เมดิคอล คลินิก เราพร้อมดูแลรักษาสุขภาพกายและใจของท่านอย่างครบถ้วน สามารถสอบถามหรือนัดหมายล่วงหน้าที่นี่ 

Reference:

บทความที่เกี่ยวข้อง

Categories
Uncategorized

สัญญาณเตือนประจำเดือนผิดปกติ มาพบแพทย์ด่วน!

    /    บทความ    /    สัญญาณเตือนประจำเดือนผิดปกติ มาพบแพทย์ด่วน!

สัญญาณเตือนประจำเดือน
ผิดปกติ มาพบแพทย์ด่วน!

สัญญาณเตือนประจำเดือนผิดปกติ มาพบแพทย์ด่วน!

ในวัยเจริญพันธุ์จะเริ่มมีประจำเดือนตั้งแต่อายุประมาณ 12 ปี ซึ่งเป็นช่วงที่ร่างกายกำลังมีการเจริญเติบโตและเปลี่ยนแปลงเข้าสู่วัยเจริญพันธุ์ โดยช่วงเวลาที่มีประจำเดือนในแต่ละครั้ง จะอยู่ในช่วงประมาณ 3-8 วัน ทั้งนี้ประจำเดือนเกิดจากเลือดและเนื้อเยื่อบุโพรงมดลูกที่หลุดออกมาทุกรอบเดือนของผู้หญิง ซึ่งจะแตกต่างกันไปในแต่ละคน ส่วนใหญ่จะเกิดขึ้นทุก 21-35 วันตามการเปลี่ยนแปลงของฮอร์โมนในแต่ละเดือน ดังนั้นประจำเดือนจึงควรออกเป็นรอบๆ อย่างสม่ำเสมอ ในปริมาณที่เหมาะสม 

ประจำเดือนปกติ

  • เลือด จะต้องเป็นสีแดงสด หรืออาจเปลี่ยนเป็นสีคล้ำขึ้นในช่วงวันท้ายๆ โดยเลือดที่ออกมาจะต้องไม่มีการแข็งตัว ไม่มีลิ่มเลือดขนาดใหญ่หรือชิ้นเนื้อปน บางครั้งประจำเดือนอาจออกมาพร้อมกับตกขาวจึงดูเป็นก้อนได้แต่ไม่อันตราย
  • ปริมาณของเลือด จะอยู่ที่ 30-80 มิลลิลิตร/ รอบเดือนโดยประมาณ ในส่วนเรื่องปริมาณอาจวัดกันค่อนข้างลำบาก เพราะบางคนอาจมีประจำเดือนมากหรือน้อยอยู่แล้ว ให้สังเกตจากความเปลี่ยนแปลงของตนเองที่ไม่เหมือนเดิม หรือสังเกตจากจำนวนผ้าอนามัยที่ใช้มีปริสณเปลี่ยนแปลงไปหรือไม่
  • ประจำเดือนมักไม่เกิน 7 วันต่อรอบ และมาเพียง 1 รอบต่อเดือน แต่ในบางครั้ง หากมีรอบเดือนในช่วงต้นเดือน อาจมีรอบเดือนอีกครั้งในช่วงวันท้ายๆของเดือนได้
  • ระยะห่างของรอบเดือน ต้องไม่มาถี่เกินไปหรือ ห่างมากเกินไป นับจากวันแรกของเดือนที่ประจำเดือนมาไปจนถึงวันแรกของรอบเดือนหน้าโดยเฉลี่ยสำหรับคนทั่วไปอยู่ที่ 28 วัน
  • อาการข้างเคียงที่อาจเกิดขึ้นได้ เช่น ท้องอึด ตัวบวม คัดเต้านม หรือปวดหลัง บางคนมีอาการไมเกรนร่วมด้วย ถ้าเคยมีอาการแบบนี้ถือว่าปกติ แต่ถ้าไม่เคยมีอาการมาก่อน แล้วเป็นในภายหลังหรืออาการมากขึ้นๆเรื่อยๆ ควรมาปรึกษาแพทย์
อาการของรอบเดือนที่ไม่ควรมองข้าม
 
กลุ่มอาการจากประจำเดือนของแต่ละคนอาจมีความแตกต่างกัน แต่หากอาการยังคงอยู่เช่นเดิม ควรรีบไปพบแพทย์เพื่อตรวจหาสาเหตุที่แท้จริง โดยอาจสังเกตจากลักษณะดังต่อไปนี้
  • มีอาการผิดปกติ เช่น เวียนศีรษะ หน้ามืด เป็นลม รวมถึงตรวจพบว่ามีภาวะเลือดจาง
  • เลือดออกยาวนานขึ้น เช่น จากปกติมีรอบเดือนไม่เกิน 7 วัน แต่มียาวนานขึ้นเป็นมากกว่า 10 วัน
  • มีเลือดออกกะปริบกะปรอยนอกรอบเดือน หรือมีประจำเดือนมากกว่า 1 รอบต่อเดือน
  • เลือดออกหลังมีเพศสัมพันธ์ หรือ มีอาการปวดขณะร่วมเพศ
  • เลือดออกหลังหมดประจำเดือน หลังหมดประจำเดือนแล้ว ฮอร์โมนเพศหญิงจะค่อยๆลดลงจนหมดไป จึงไม่ควรกลับมามีประจำเดือนอีก หากมีเลือดออกจากช่องคลอดควรมาพบแพทย์เพื่อประเมินทุกครั้ง รวมถึงในหญิงวัยหมดประจำเดือนที่ประจำเดือนหมดไปแล้ว ไม่มีควรมีเลือดประจำเดือนออกมาอีก
  • ประจำเดือนไม่มาตามรอบ หรือประจำเดือนไม่มาติดต่อกันหลายเดือน
สาเหตุของประจำเดือนที่ผิดปกติอาจเกิดจาก

  • ความเครียด ความวิตกกังวล
  • อาหาร การอดอาหาร น้ำหนักที่เพิ่มหรือลดลงเร็วเกินไป
  • การรับประทานยาคุมกำเนิด
  • ภาวะอื่นๆ เช่น เนื้องอกในมดลูก ติ่งเนื้อในโพรงมดลูก โรคถุงน้ำในรังไข่ การตั้งครรภ์ ภาวะรังไข่ล้มเหลวก่อนวัยอันควร การอักเสบหรือติดเชือในโพรงมดลูก หรือระดับฮอร์โมนที่ผิดปกติ
สร้างสมดุลฮอร์โมนให้ร่างกายกลับมาทำงานปกติอีกครั้ง 

อาการบางอย่างอาจเป็นผลมาจากการเปลี่ยนแปลงฮอร์โมนในช่วงมีประจำเดือน ดังนั้นการสร้างความสมดุลฮอร์โมนโดยการปรับพฤติกรรมในชีวิตประจำวัน จะช่วยให้ร่างกายกลับมาทำงานอย่างปกติ ทั้งนี้ ฮอร์โมนที่ไม่สมดุลจะกระทบต่อกระบวนการต่างๆ รวมทั้งการมีประจำเดือนด้วย 
  • รับประทานอาหารให้ครบ 5 หมู่อย่างสม่ำเสมอ  ควรรับประทานโปรตีนให้เพียงพอ รับประทานไขมันดี ผักผลไม้ในปริมาณที่เหมาะสม เพื่อช่วยปรับสมดุลฮอร์โมน 
  • เลี่ยงพฤติกรรมเสี่ยง ได้แก่ หลีกเลี่ยงการสูบบุหรี่ ดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอล์และเครื่องดื่มที่มีคาเฟอีน ใช้สารเสพติด เพื่อลดอาการปวดก่อนมีประจำเดือน และช่วยลดความเสี่ยงต่อการเป็นโรคร้าย รวมถึงช่วยเสริมสร้างสุขภาวะที่ดีให้กับร่างกายอีกด้วย
  • ออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอ โดยไม่ออกกำลังกายอย่างหักโหม แต่ให้ออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอ อาทิตย์ละ 3-5 วัน เพื่อเสริมสร้างความแข็งแรงของร่างกาย 
  • ตรวจภายในและตรวจร่างกายอย่างสม่ำเสมอ เพื่อหาปัจจัยเสี่ยงต่อโรคร้าย จะช่วยในการรักษาโรค หรือป้องกันโรคร้ายได้อย่างทันท่วงที รวมถึงฉีดวัคซีนป้องกันการติดเชื้อ HPV เพื่อเป็นการลดความเสี่ยงในการติดเชื้อ HPV ซึ่งเป็นสาเหตุของมะเร็งปากมดลูก
หากท่านต้องการนัดหมายเพื่อเข้ารับการปรึกษาเกี่ยวกับฮอร์โมน หรือเข้าร่วมโปรแกรม Personalized Lifestyle Medicine สามารถเข้ามารับคำแนะนำได้ที่พรีโมแคร์ เมดิคอล คลินิก เราพร้อมดูแลรักษาสุขภาพกายและใจของท่านอย่างครบถ้วน สามารถสอบถามหรือนัดหมายล่วงหน้าที่นี่ 

Reference:

บทความที่เกี่ยวข้อง

Categories
Uncategorized

การออกแบบโปรแกรมทางโภชนาการ เพื่อสุขภาพที่แข็งแรงอย่างยั่งยืน

    /    บทความ    /    การออกแบบโปรแกรมทางโภชนาการ เพื่อสุขภาพที่แข็งแรงอย่างยั่งยืน

ออกแบบโปรแกรมทางโภชนาการ เพื่อสุขภาพที่แข็งแรงอย่างยั่งยืน

การออกแบบโปรแกรมทางโภชนาการ เพื่อสุขภาพที่แข็งแรงอย่างยั่งยืน

ที่พรีโมแคร์ เราออกแบบโปรแกรม Personalized Nutrition ที่ตอบโจทย์ผู้ที่ต้องการดูแลสุขภาพตามหลักโภชนาการ ที่ผ่านการรับประทานอาหารที่ถูกต้องตามหลักโภชนาการ โดยมีแพทย์ผู้ชำนาญการคอยเป็นผู้ให้คำปรึกษา ดูแล และนำการรับประทานอาหารที่ถูกต้องตามแบบเฉพาะบุคคล

แนวทางการรักษา

สำหรับโปรแกรม Personalized Nutrition ที่พรีโมแคร์ออกแบบมาเฉพาะบุคคลที่ต้องการปรับเปลี่ยนไลฟ์สไตล์ในการรับประทานอาหาร เพื่อสุขภาพที่แข็งแรงอย่างยั่งยืน โดยมีกลุ่มเป้าหมาย ดังนี้

  • ผู้ต้องการควบคุมน้ำหนักอย่างยั่งยืน
  • ผู้ที่มีภาวะโรคอ้วนระดับ 2 (ค่า BMI สูงกว่า 30)
  • ผู้ป่วยโรคเรื้อรัง เช่น เบาหวาน ไขมัน ความดัน

 โดยโปรแกรม  Personalized Nutrition ไม่ใช่แต่เป็นโปรแกรมที่มีเป้าหมายในการควบคุม หรือแนะนำ ออกแบบมื้ออาหารเท่านั้น แต่ยังสนใจสุขภาพของผู้เข้ารับบริการแบบองค์รวม ที่จะให้คำปรึกษาเกี่ยวกับทุกแง่มุมของสุขภาพอย่างลึกซึ้ง และต่อเนื่อง ดังนี้

  • ให้คำปรึกษาในการปรับเปลี่ยนพฤติกรรมการบริโภคอาหาร ออกแบบมื้ออาหาร
  • ออกแบบกิจกรรมทางกายให้เหมาะสมเฉพาะบุคคล
  • ทีมแพทย์ พยาบาล คอยให้คำแนะนำ ดูแลอย่างใกล้ชิด

ทั้งนี้ผู้ที่เข้ารับการรักษากับโปรแกรม จะได้รับคำปรึกษาโดยตรงจากแพทย์ผู้ชำนาญการด้านโภชนาการ (์Nutritional medicine) ที่จะช่วยออกแบบมื้ออาหารตามจุดมุ่งหมายในด้านสุขภาพของคุณ ประกอบด้วย 4 ขั้นตอนดังนี้


  1. ประเมินภาวะโภชนาการ (Nutrition Assessment) หมายถึง การระบุภาวะโภชนาการของบุคคล โดยอาศัยข้อมูลทางการวัดสัดส่วนต่างๆ ของร่างกาย, ข้อมูลทางห้องปฏิบัติการ, ข้อมูลจากการตรวจร่างกาย, และข้อมูลจากการประเมินอาหารบริโภค ซึ่งข้อมูลดังกล่าวจะนำมาเทียบกับค่ามาตรฐาน หรือเกณฑ์อ้างอิงทางโภชนาการและทางสาธารณสุขที่เกี่ยวข้อง เพื่อระบุหรือวินิจฉัยปัญหาโภชนาการและสุขภาพที่เกี่ยวข้องกับภาวะโภชนาการในระดับบุคคล
  2. วินิจฉัยทางโภชนาการ (Nutrition Diagnosis) หมายถึง การระบุปัญหาด้านโภชนาการที่เกี่ยวข้องกับโรคที่ผู้ป่วยเป็นอยู่ (Nutrition problem) โดยขั้นตอนการวินิจฉัยทางด้านโภชนาการถือว่าเป็นขั้นตอนที่มีความสำคัญอย่างยิ่ง เนื่องจากสามารถประเมินภาวะโภชนาการของผู้ป่วยได้อย่างครบถ้วน และนำมาวิเคราะห์ เพื่อสรุปเป็นปัญหาที่ชัดเจ
  3. วางแผนโภชนาการ (Nutrition Intervention) หมายถึง การวางแผนและออกแบบมื้ออาหาร  เพื่อแก้ไขปัญหาที่ได้วินิจฉัยไว้ ซึ่งสามารถเลือกใช้วิธีการต่าง ๆ ได้หลากหลายขึ้นกับความเหมาะสมกับผู้ป่วยแต่ละราย 
  4. ติดตามและประเมินผล (Monitoring and Evaluation) หมายถึง การวัดผลการปฏิบัติตัวตามแผน โดยเป็นการติดตามผลดูว่าผู้ป่วยสามรถปฏิบัติตามแผนที่วางไว้ได้บรรลุตามเป้าหมายหรือไม่
หากท่านต้องการที่จะนัดหมายเพื่อเข้าโปรแกรม Personalized Nutrition สามารถเข้ามารับคำแนะนำได้ที่ พรีโมแคร์ เมดิคอล คลินิก ที่พร้อมดูแลรักษาสุขภาพร่างกายของท่านอย่างครบถ้วน สามารถสอบถามหรือนัดหมายล่วงหน้าที่นี่ 

Reference:

บทความที่เกี่ยวข้อง

Categories
Uncategorized

รักษาใจที่พรีโมแคร์

    /    บทความ    /    รักษาใจที่พรีโมแคร์

รักษาใจที่พรีโมแคร์

รักษาใจที่พรีโมแคร์

บริการจิตบำบัดที่พรีโมแคร์ เราออกแบบมาเพื่อดูแล ป้องกัน และรักษา เพื่อสุขภาพใจที่แข็งแรงของคุณ ด้วยแนวคิดที่คำนึงถึงผู้ป่วยเป็นศูนย์กลาง เราจึงมุ่งเน้นไปยังการดูเเลทุกองค์ประกอบสุขภาพของคนไข้ รับฟังความคิด ความต้องการ มาเป็นส่วนร่วมในการดูเเลสุขภาพ ภายใต้การดูเเลอย่างใกล้ชิดเเละต่อเนื่อง โดยจะครอบคลุมการดูแลสุขภาพในทุกมิติ ทั้งการส่งเสริมสุขภาพ การป้องกันโรค การรักษา การฟื้นฟู

จิตบำบัด (Psychotherapy)

จิตบำบัดเป็นการใช้เวลาในการพูดคุยเเลกเปลี่ยน เพื่อเยียวยาปัญหาทางด้านจิตใจกับนักจิตวิทยา เพื่อค้นหาสาเหตุของปัญหาที่เกิดจากประสบการณ์ในชีวิต ส่งผลต่อการปรับตัว มุมมองความเชื่อ การแสดงออกทางพฤติกรรม อารมณ์ และการรับมือกับปัญหา ซึ่งการทำจิตบำบัดสามารถทำได้ด้วยกันหลายวิธีโดยมีเป้าหมายเพื่อพัฒนาทักษะการรับมือกับปัญหา ปรับมุมมองความคิด และสามารถแสดงออกทางอารมณ์ได้อย่างเหมาะสม 

การทำจิตบำบัดมีประโยชน์ในการรักษาโรคหรือปัญหาที่เกี่ยวข้องกับจิตใจ เช่น อาการเศร้า วิตกกังวล ความเครียดการใช้ชีวิตประจำวัน เหนื่อยล้าจากการทำงาน หรือเหนื่อยล้าจากการดูแลตนในครอบครัว นอกจากนี้ ปัญหาความสัมพันธ์ในรูปแบบต่างๆ คนในครอบครัว คู่รัก หรือเพื่อนร่วมงาน ก็อาจได้รับประโยชน์จากการทำจิตบำบัดได้ด้วยเช่นกัน

 

รายละเอียดเพิ่มเติม

  • ภาวะหมดไฟในการทำงาน (burnout syndrome) คือ ภาวะการเปลี่ยนแปลงด้านจิตใจที่เกิดจากความเครียดเรื้อรังในการทำงาน 
  • ภาวะเครียด นำไปสู่ความวิตกกังวล ซึมเศร้า อารมณ์ไม่มั่นคง เปลี่ยนแปลงง่าย 
  • ซึมเศร้า มีอารมณ์เศร้า ท้อแท้ หดหู่ สิ้นหวังอย่างรุนแรง เกิดขึ้นเกือบตลอดทั้งวันติดต่อกันอย่างน้อย 2 สัปดาห์ ร่วมกับเบื่อหน่าย หมดความสนใจในการงานหรือกิจกรรมที่เคยชอบ
  • วิตกกังวล เป็นโรคทางจิตใจที่มีความรุนแรงกว่าความวิตกกังวลที่เกิดขึ้นตามธรรมชาติ มีอาการตื่นตระหนก กลัว และไม่สบายใจ ไม่สามารถอยู่ในความสงบได้ กระสับกระส่าย กระวนกระวาย
  • ปัญหาความสัมพันธ์ ให้คำปรึกษาปัญหาทางด้านจิตใจที่เกิดทางด้านความสัมพันธ์ อาทิ ครอบครัว คู่รัก เป็นต้น
รักษาใจที่พรีโมแคร์
 
ที่พรีโมเเคร์ เมดิคอล เรามีบริการพิเศษ ที่แบ่งออกเป็น บริการตรวจรักษา และ บริการตรวจป้องกัน สำหรับจิตบำบัด เราพร้อมให้การดูเเลในทุกเเง่มุมสุขภาพ อย่างครบถ้วนทั้งบริการประเมินสุขภาพจิต และให้คำปรึกษาอย่างใกล้ชิด เพื่อหาสาเหตุของปัญหาและร่วมหาแนวทางการแก้ไข รวมถึงให้คำแนะนำในการปรับเปลี่ยนพฤติกรรมหรือความคิดเพื่อฟื้นฟูสุขภาพจิต
 
  • ประเมินสุขภาพจิตเบื้องต้น ทดสอบระดับความเครียด ความกดดันสะสม สร้างภูมิคุ้มกันทางใจให้ตนเอง
  • บริการประเมินสุขภาพจิตโดยรวม ทั้งด้านความสัมพันธ์ พฤติกรรม และความคิด
  • บริการให้คำปรึกษาทางด้านจิตใจ พูดคุยเเลกเปลี่ยน เพื่อเยียวยาปัญหาทางด้านจิตใจกับนักจิตวิทยาอย่างใกล้ชิด
หากท่านมีข้อสงสัยเพิ่มเติม หรือต้องการที่จะนัดหมายเพื่อพูดคุยกับนักจิตวิทยา สามารถสอบถามเพิ่มเติมได้ที่ พรีโมแคร์ เมดิคอล คลินิก ที่พร้อมดูแลรักษาสุขภาพใจของท่านอย่างครบถ้วน สามารถสอบถามหรือนัดหมายล่วงหน้าที่นี่ 
 

Reference:

บทความที่เกี่ยวข้อง

Categories
Uncategorized

กายภาพบำบัด ช่วยรักษาอาการรองช้ำ

    /    บทความ    /    กายภาพบำบัด ช่วยรักษาอาการรองช้ำ

ภาวะข้อไหล่ติดรักษาได้ด้วยกายภาพบำบัด

กายภาพบำบัด ช่วยรักษาอาการรองช้ำ

โรครองช้ำ “ภาวะพังผืดฝ่าเท้าอักเสบ” คือภาวะที่เกิดการบาดเจ็บบริเวณพังผืดใต้ฝ่าเท้า ที่เกิดจากความเสื่อมของพังผืดฝ่าเท้า หรือการใช้งานที่มากเกินไป  โดยอาการมักเป็นๆ หายๆ และเป็นมากขึ้นตามลักษณะการใช้งาน การอักเสบจะเกิดขึ้นที่เอ็นบริเวณส้นเท้าต่อเนื่องไปจนถึงเอ็นร้อยหวาย ทั้งนี้โรครองช้ำสามารถรักษาให้หายได้ด้วยการรักษาทางกายภาพบำบัด จะมีการใช้เครื่องมือทางกายภาพบำบัดร่วมด้วย เพื่อกระตุ้นการซ่อมแซมพังผืดเท้าบริเวณที่บาดเจ็บ ร่วมกับการบริหารร่างกาย

โรครองช้ำ (Plantar Fasciitis)

ผู้ที่เป็นโรครองช้ำจะมีอาการปวดและกดเจ็บบริเวณส้นเท้า ซึ่งหากปล่อยให้เรื้อรังจะรบกวนการใช้ชีวิตประจำวัน ไม่สามารถเดินหรือทำกิจกรรมต่างๆ ได้อย่างสะดวก โรครองช้ำมักพบอาการ ดังนี้ 

  • มีอาการเจ็บด้านในของส้นเท้าในก้าวแรกหลังตื่นนอนตอนเช้า หรือหลังจากที่นั่งเป็นเวลานาน 
  • ไม่สามารถเดินลงน้ำหนักได้เต็มที่ในก้าวแรก แต่ถ้าเดินไปสักระยะอาการเจ็บส้นเท้าจะลดลง
  • อาการเจ็บจะมากขึ้นในช่วงท้ายของวัน หรือเมื่อมีการเพิ่มขึ้นของกิจวัตรประจำวัน 
  • มีจุดกดเจ็บบริเวณส้นเท้าด้านใน

ทั้งนี้ปัจจัยที่มีส่วนสำคัญในการกระตุ้นให้เกิดความเสี่ยงเป็นโรครองช้ำ ได้แก่

  1. เส้นเอ็นร้อยหวายหรือพังผืดฝ่าเท้าตึงเกินไป ไม่ยืดหยุ่น ซึ่งอาจเกิดได้จากการไม่ค่อยได้ยืดคลายเส้นเอ็น หรือใช้งานเป็นเวลานาน เช่น การยืนหรือเดินเป็นระยะเวลานาน ส่งผลให้พังผืดฝ่าเท้าตึง และทำให้เป็นโรครองช้ำในที่สุด
  2. เส้นเอ็นเสื่อม จากอายุที่มากขึ้น ซึ่งเส้นเอ็นที่เริ่มเสื่อมนั้นจะมีอาการบวม อักเสบ จึงทำให้เจ็บบริเวณบริเวณส้นเท้า
  3. ผู้ที่มีน้ำหนักมาก จะมีความเสี่ยงเป็นรองช้ำได้ง่ายกว่าคนปกติ เนื่องจากน้ำหนักที่เกินจะทำให้พังผืดฝ่าเท้ารับแรงกระแทกมากขึ้น
  4. ผู้ที่มีความผิดปกติการเดิน และการลงน้ำหนักผิดไปจากปกติ จะมีปัจจัยเสี่ยงมากขึ้น ซึ่งอาจเกิดมาจากอาการ ออฟฟิศซินโดรม ปวดหลัง ปวดข้อต่างๆ ที่ทำให้การเดินลงน้ำหนักผิดปกติ
  5. สวมใส่รองเท้าที่ไม่ถูกสุขลักษณ ะ เช่น การใส่รองเท้าพื้นแข็ง ยืนตลอดทั้งวัน หรือการทำงานที่ต้องเดินทั้งวัน อาจทำให้เกิดอาการรองช้ำได้
ปรับพฤติกรรมเพื่อสุขภาพที่ดีกว่า 
 
เมื่อทราบถึงสาเหตุของอาการที่ทำให้เกิดอาการลองช้ำ ลองปรับเปลี่ยนพฤติกรรมในชีวิตประจำวันของคุณ เพื่อสุขภาพที่ดีอย่างยั่งยืนกันดีกว่า
  • สวมใส่รองเท้าที่เหมาะสม ไม่ใส่รองเท้าแตะที่มีพื้นแข็ง โดยรองเท้าที่แนะนำคือรองเท้ากีฬา รองเท้าวิ่งที่พื้นรองเท้านิ่ม
  • หมั่นยืดเหยียดคลายเส้นเอ็น ยืดเส้นเอ็นกล้ามเนื้อน่องเป็นประจำ โดยเฉพาะในคนที่มักมีอาการน่องตึงจากการทำงานหนัก ยืนหรือเดินเป็นระยะเวลานาน จะช่วยลดความเสี่ยงในการเป็นโรครองช้ำได้
  • ปรับน้ำหนักให้อยู่ในเกณฑ์ปกติ เพื่อลดแรงกระแทกพังผืดฝ่าเท้า เพื่อให้ใช้งานได้อย่างปกติ และไม่รบกวนชีวิตประจำวัน
กายภาพบำบัดช่วยได้

ป่วยโรครองช้ำสามารถรักษาให้หายได้ด้วยการรักษาโดยไม่ต้องผ่าตัด โดยการรักษาทางกายภาพบำบัดจะมีการใช้เครื่องมือทางกายภาพบำบัดร่วมด้วย เพื่อให้ระยะของการอักเสบผ่านไปเร็วขึ้นและกระตุ้นการซ่อมแซมพังผืดเท้าบริเวณที่บาดเจ็บ ร่วมกับการบริหารร่างกาย เช่น การยืดกล้ามเนื้อน่อง, การยืดพังผืดเท้า หรือการเพิ่มความแข็งแรงของกล้ามเนื้อมัดเล็กภายในฝ่าเท้า

  • การรักษาด้วยคลื่นกระแทก (Shock wave therapy) เพื่อกระตุ้นให้เกิดการซ่อมแซมเนื้อเยื่อ ลดอาการปวด
  • การรักษาด้วยอัลตราซาวด์ (Ultrasound Therapy) โดยใช้คลื่นเสียงความถี่สูง เพื่อลดอาการปวดอักเสบของเนื้อเยื่อ อาการบวม เร่งการซ่อมแซมของเนื้อเยื่อ ช่วยคลายกล้ามเนื้อที่เกร็ง รวมไปถึงเพิ่มความยืดหยุ่นให้กับข้อต่อในชั้นลึก
ทั้งนี้นักกายภาพบำบัดจะทำการตรวจประเมินร่างกายโดยละเอียด หากพบการอักเสบ ปวด บวมของผังพืดฝ่าเท้า หรือปวดตึงไปตามขาหรือน่อง จึงจะรักษาด้วยเครื่องมือทางกายภาพบำบัด และสอนการทำกายบริหาร เพื่อป้องกันการกลับมาเป็นซ้ำ โดยไม่จำเป็นต้องรับประทานยา หรือ เข้ารับการผ่าตัดแต่อย่างใด

หากท่านต้องการที่จะนัดหมายเพื่อฟื้นฟูกระดูกเเละกล้ามเนื้อในส่วนต่างๆของร่างกาย  สามารถเข้ามารับคำแนะนำได้ที่ พรีโมแคร์ เมดิคอล คลินิก ที่พร้อมดูแลรักษาสุขภาพร่างกายของท่านอย่างครบถ้วน สามารถสอบถามหรือนัดหมายล่วงหน้าที่นี่ 

Reference:

บทความที่เกี่ยวข้อง

Categories
Uncategorized

โซเชียลมีเดียส่งผลต่อสุขภาพจิตจริงหรอ??

    /    บทความ    /    โซเชียลมีเดียส่งผลต่อสุขภาพจิตจริงหรอ??

ภาวะข้อไหล่ติดรักษาได้ด้วยกายภาพบำบัด

โซเชียลมีเดียส่งผลต่อสุขภาพจิตจริงหรอ??

สื่อโซเชียลเข้ามาเป็นส่วนหนึ่งของชีวิตประจำวันของผู้คนในยุคนี้ การพบปะ พูดคุยให้ความรู้สึกเสมือนจริง มีการค้นพบว่าสื่อโซเชียลเป็นสาเหตุส่วนหนึ่ง หรือปัจจัยที่อาจก่อให้เกิดโรคซึมเศร้าเพิ่มมากขึ้น

ผลกระทบทางสุขภาพจิตของผู้ที่ติดสมาร์ทโฟน หรือเทคโนโลยีอย่างหนัก มีความสัมพันธ์เกี่ยวข้องกับความวิตกกังวลและโรคซึมเศร้า จากผลงานวิจัยมหาวิทยาลัย Northwestern ในชิคาโกที่พบความสัมพันธ์ระหว่างผู้ที่เป็นโรคซึมเศร้าและระยะเวลาที่ใช้สมาร์ทโฟนพบว่า ระดับของอาการซึมเศร้าที่เกิดขึ้นมีความสัมพันธ์กับปริมาณของเวลาที่ใช้สมาร์ทโฟน ยิ่งการใช้ระยะเวลามากขึ้น ระดับของอาการซึมเศร้าก็จะมากขึ้นไปด้วย

เสพติดโซเชียล

ไม่ใช่แต่เพียงระยะเวลาในการใช้สื่อโซเชียลมีเดียเท่านั้น แต่ปัจจัยที่มีผลมากที่สุดคือ การเสพติดการสื่อสารทั้งโทรศัพท์และอินเทอร์เน็ต ซึ่งมีผลทำให้เกิดภาวะซึมเศร้าได้มากขึ้น ในส่วนของงานวิจัยในประเทศไทย มีผลงานวิจัยที่ศึกษาพฤติกรรมการสื่อสารผ่านเทคโนโลยีกับภาวะสุขภาพใจของนักเรียน แสดงให้เห็นว่า ปริมาณการใช้งานในการสื่อสารมากหรือน้อยอาจไม่สำคัญเท่ากับภาวะความรู้สึกต้องการในลักษณะ “เสพติด” เป็นตัวแปรสำคัญที่สะท้อนการผูกมัดสื่อสารเทคโนโลยี กับชีวิตของตนเองอยู่ตลอดเวลา

สาเหตุในการเสพติดสื่อโซเชียล

  • Connection หมายถึง การต้องการสื่อสาร พูดคุยกับเพื่อน หรือบุคคลที่อยู่ในสื่อโซเชียล เป็นการสื่อสารในทุกช่องทาง ไม่ว่าจะเป็นการพูดคุยผ่าน Line, โพสต์รูปหรือข้อความผ่านทาง Facebook หรือโพสต์รูปผ่านทาง Instagram เป็นต้น 
  • Identity creation หมายถึง การต้องการที่จะมีตัวตนในสื่อโซลเชียลมีเดียว เช่นการชื่นชอบในยอดไลค์ หรือยอดคอมเมนต์ที่เกิดขึ้นจากสื่อโซเชียล 
  • Public and Private หมายถึง การต้องการรับรู้เรื่องราว หรือข่าวสารต่างๆของผู้คนผ่านทางโซเชียลมีเดีย 
  • Social Support หมายถึง การต้องการกำลังใจ หรือการยอมรับในสื่อโซเชียล เช่นการโพสต์ข้อความ หรือภาพเกี่ยวกับตนเองเพื่อให้ได้รับการแสดงความเห็นใจ หรือคอมเมนต์อื่นๆที่เกี่ยวข้อง
Social Media Detoxing

นักวิจัยจากมหาวิทยาลัยบาธ (University of Bath) กล่าวว่า วิธีที่ดีที่สุดในการขจัดอารมณ์ไม่ดีและปกป้องสุขภาพจิตของคุณคือ การหยุดพักจากโซเชียลมีเดียเพียง 1 สัปดาห์ สามารถลดอาการเครียด ช่วยให้ความรู้สึกดีมากขึ้น นอกจากนี้ยังช่วยเพิ่มเวลาสำหรับกิจกรรมอื่นๆ ได้อีกด้วย 

Social Media Detox คือ การบำบัดการเสพติดการใช้โซเชียลมีเดีย โดยกำหนดตนเองให้อยู่ห่างจากการใช้งานสื่อสังคมออนไลน์ที่อาจส่งผลกระทบต่อจิตใจ จนเกิดความทุกข์ ความเครียด ทำให้ลามมาถึงร่างกายและการใช้ชีวิตประจำวัน เพื่อเป็นการฟื้นฟูพักผ่อนร่างกายและจิตใจกลับมาสดใสเหมือนเดิม


สัญญาณเตือนว่าคุณต้องการ Social Media Detox

  • จดจ่ออยู่กับโซเชียลมีเดียแทบจะตลอดเวลา
  • ปวดนิ้ว เมื่อยฝ่ามือ คอ หรือหลัง
  • ปวดตา เบลอ มึนไปชั่วขณะ
  • สิ่งที่อยู่ในโซเชียลมีเดียส่งผลกระทบต่ออารมณ์ของคุณ
  • ขาดความมั่นใจในตัวเองและเปรียบเทียบตนเองกับคนอื่นในโซเชียล
  • มีปัญหาด้านการนอนหลับ
ข้อดีของการทำ Social Media Detox


  • มีเวลาในการหากิจกรรมและงานอดิเรก เช่น อ่านหนังสือ เล่นกีฬา ทำอาหาร เป็นต้น
  • ได้ใช้เวลากับครอบครัวและสิ่งรอบตัวมากขึ้น เช่น การไปทานข้วกับครอบครัว หรือคนรัก รวมถึงการพูดคุยและทำกิจกรรมร่วมกัน โดยไม่จำเป็นที่จะต้องใช้สื่อโซเชียลอยู่ตลอด
  • มีความสุขกับตัวเองมากขึ้น เพราะไม่จำเป็นที่จะต้องกังวลกับสิ่งที่อยู่ในสื่อโซเชียลมีเดียตลอดเวลา ทำให้มีเวลาในการดูแลตนเอง
  • มีเวลาในการพัฒนาตนเอง เช่นสามารถนำเวลาที่เหลือมาพัฒนาความสามารถด้านอื่นๆ หรือหาความรู้เพิ่มเติม
  • จิตใจมั่นคงยิ่งขึ้น เนื่องจากไม่ต้องใช้เวลาในการเสพสื่อ หรือคอมเมนต์ต่างๆผ่านทางโซเชียล ทำให้สภาพจิตใจและความคิดของเราสามารถจดจ่อ และมีสมาธิกับตัวเองได้

หากท่านมีอาการหรือสัญญาณเตือนในการเสพติดสื่อโซเชียล สามารถเข้ามารับคำแนะนำกับบักจิตวิทยาของเราได้ที่ พรีโมแคร์ เมดิคอล คลินิก ที่พร้อมดูแลรักษาสุขภาพใจของท่านอย่างครบถ้วน สามารถสอบถามหรือนัดหมายล่วงหน้าที่นี่ 

บทความที่เกี่ยวข้อง

Categories
Uncategorized

Fitness Test บริการ กายภาพบำบัดเพื่อสุขภาพที่พรีโมแคร์

    /    บทความ    /    Fitness Test บริการ กายภาพบำบัดเพื่อสุขภาพที่พรีโมแคร์

Fitness Test
บริการกายภาพบำบัดเพื่อสุขภาพ

Fitness Test บริการ กายภาพบำบัดเพื่อสุขภาพที่พรีโมแคร์

บริการจากพรีโมแคร์ที่จะช่วยประเมินความแข็งแรงของกล้ามเนื้อและร่างกายโดยนักกายภาพบำบัด เพื่อการวางแผนการทำกายภาพที่จะช่วยแก้ไขปัญหาร่างกายของคุณอย่างถูกต้อง รวมถึงช่วยออกแบบท่าออกกำลังกายเฉพาะบุคคลให้ตรงจุดที่สุดเพื่อสุขภาพที่แข็งแรงอย่างยั่งยืน 

Fitness Test ที่พรีโมแคร์

คือการทดสอบความแข็งแรงของร่างกายเพื่อการออกแบบการทำกายภาพบำบัดและท่าออกกำลังกายเฉพาะบุคคล โดยแบ่งออกเป็น Wellness Fitness Test และ Senior Fitness Test ซึ่งออกแบบมาเพื่อตอบโจทย์ความต้องการที่แตกต่าง ทั้งนี้การทดสอบความแข็งแรงนั้น เพื่อประเมินองค์ประกอบของสมรรถภาพทางกายที่มีความสัมพันธ์กับสุขภาพ ได้แก่ 

  1. ประเมินสุขภาพทางร่างกายทั่วไป (General health evaluation) เช่น วัดชีพจร ความดันโลหิต รวมถึงการซักประวัติของโรคที่เกี่ยวข้องกับการทดสอบสมรรถภาพ ซึ่งเป็นการประเมินเบื้องต้น หรือข้อควรระวังในการทดสอบสมรรถภาพร่างกาย
  2. สมรรถภาพในการทำงานของระบบไหลเวียนเลือดและหัวใจ(Cardiovascular endurance)  หมายถึง ความสามารถในการทำงานของร่างกายอย่างต่อเนื่อง หรือการใช้ออกซิเจนขณะออกกำลังกาย ซึ่งบ่งชี้ไปถึงประสิทธิภาพของหัวใจและปอด รวมถึงความสามารถในการทำกิจกรรมต่างๆในชีวิตประจำวัน 
  3. ความแข็งแรงของกล้ามเนื้อ(Muscle Strength) หมายถึง ปริมาณสูงสุดของแรงที่กลุ่มกล้ามเนื้อสามารถออกแรงต้านได้ ในลักษณะที่มีการเคลื่อนไหวของข้อต่อ ซึ่งเป็นการวัดแรงของกล้ามเนื้อส่วนต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้องกับการใช้งานในชีวิตประจำวัน เช่น กำลังของกล้ามเนื้อแขน ขา เป็นต้น
  4. ความทนทานของกล้ามเนื้อแกนกลางลำตัว (Core endurance) หมายถึง ความสามารถในการทำงานของกลุ่มกล้ามเนื้อแกนกลางลำตัวในการหดตัวซ้ำๆ เพื่อต้านแรงหรือความสามารถในการหดตัวครั้งเดียวได้เป็นระยะเวลายาวนาน
  5. ความคล่องตัว/ ความสามารถในการทรงตัว (Agility/ Dynamic balance) หมายถึง ความสามารถในการควบคุมร่างกายในการเปลี่ยนทิศทางการเคลื่อนไหวหรือเคลื่อนที่ของร่างกายได้อย่างรวดเร็วและมีเป้าหมาย รวมถึงความสามารถในการรักษาความสมดุลของร่างกายทั้ง ขณะอยู่นิ่ง และขณะเคลื่อนที่
  6. ความยืดหยุ่น (Flexibility) หมายถึง ความสามารถในการเคลื่อนไหวตลอดช่วงของการเคลื่อนไหวของข้อต่อต่างๆของร่างกาย
Wellness Fitness Test

การทดสอบสมรรถภาพทางร่างกายสำหรับผู้ที่มีอายุ 15-59 ปี โดยแบ่งการทดสอบสมรรถภาพออกเป็นดังนี้
  • ประเมินสุขภาพทางร่างกายทั่วไป (General health evaluation)
  • ความยืดหยุ่น (Flexibility)
  • ความแข็งแรงของกล้ามเนื้อ (Muscle strength)
  • ความทนทานของหัวใจและหลอดเลือด (Cardiovascular endurance)
  • ความทนทานของกล้ามเนื้อแกนกลางลำตัว (core endurance)
 Senior Fitness Test

การทดสอบสมรรถภาพทางร่างกายสำหรับผู้สูงอายุ 60-69 ปี โดยแบ่งการทดสอบสมรรถภาพออกเป็นดังนี้
  • ประเมินสุขภาพทางร่างกายทั่วไป (General health evaluation)
  • ความยืดหยุ่น (Flexibility)
  • ความคล่องตัว/ ความสามารถในการทรงตัว (Agility/ Dynamic balance)
  • ความแข็งแรงของกล้ามเนื้อ (Muscle strength)
  • ความทนทานของหัวใจและหลอดเลือด (Cardiovascular endurance)
  • ความทนทานของกล้ามเนื้อแกนกลางลำตัว (Core endurance)
หากท่านต้องการนัดหมายเพื่อทดสอบสมรรถภาพทางร่างกาย สามารถเข้ามารับคำแนะนำได้ที่ พรีโมแคร์ เมดิคอล คลินิก ที่พร้อมดูแลรักษาสุขภาพร่างกายของท่านอย่างครบถ้วน สามารถสอบถามหรือนัดหมายล่วงหน้าที่นี่ 

Reference:

บทความที่เกี่ยวข้อง

Categories
Uncategorized

ดูแลถึงวิถีชิวิตกับโปรแกรม Personalized Lifestyle Medicine

    /    บทความ    /    ดูแลถึงวิถีชิวิตกับโปรแกรม Personalized Lifestyle Medicine

ภาวะข้อไหล่ติดรักษาได้ด้วยกายภาพบำบัด

ดูแลถึงวิถีชิวิตกับโปรแกรม Personalized Lifestyle Medicine

ที่พรีโมแคร์ เราออกแบบโปรแกรม Personalized Lifestyle Medicine เพื่อตอบสนองทุกไลฟ์สไตล์ที่มีความแตกต่าง เรามุ่งเน้นที่จะดูแลผู้ป่วยในทุกองค์ประกอบเพื่อสุขภาพที่แข็งแรงและยั่งยืน โดยการรับฟังความคิดเห็นของคนไข้และนำมาปรับใช้กับแนวทางการรักษาของแพทย์ เพื่อให้ได้ผลลัพธ์ที่ชัดเจนและทำได้ในระยะยาวตามแบบเฉพาะบุคคล

แนวทางการรักษา

ที่พรีโมแคร์ เราใส่ใจทุกองค์ประกอบของสุขภาพ เพราะเราเชื่อว่าสุขภาพที่ดีมีผลมาจากปัจจัยที่เกี่ยวข้องกับชีวิต ทั้งปัจจัยภายในอย่างสุขภาพกายใจและปัจจัยภายนอก เช่น อาหาร การออกกำลังกาย การพักผ่อน และสภาพแวดล้อม เราจึงออกแบบโปรแกรม Personalized Lifestyle Medicine เพื่อดูแลสุขภาพของคุณให้แข็งแรงอย่างยั่งยืน โดยมีแนวทางในการดูแลรักษาคนไข้ดังนี้

1. ทำการนัดหมายผ่าน ทำแบบสอบถาม และ ปรึกษาแพทย์ เพื่อวิเคราะห์เชิงลึกเรื่องของไลฟ์สไตล์ต่างๆ โดยการปรึกษาแพทย์ที่มีความเชี่ยวชาญด้านเวชศาสตร์ป้องกันและ การชะลอวัย สำหรับหัวข้อหลักดังนี้

  • ปรับสมดุลฮอร์โมน รักษา PMS หรือ Premenstrual Syndrome
  • เสริมสร้างภูมิคุ้มกัน เพื่อสุขภาพที่แข็งแรง
  • Burnout Syndrome เครียด อ่อนเพลียง่าย

2. ส่งตรวจทางห้องปฏิบัติการ เพื่อตรวจเลือด ทั้งนี้ในบางรายที่จำเป็นอาจจะต้องมีการตรวจปัสสาวะร่วมด้วย เมื่อได้ผลแล้วจะนำไปสู่การประเมินเพื่อวางแผนในการปรับไลฟ์สไตล์ที่สม 

3. วางแผนปรับไลฟ์สไตล์และปรุงวิตามินเฉพาะบุคคล โดยอิงตามผลตรวจจากห้องปฏิบัติการและ วิถีชีวิตของคนไข้ เพื่อความแข็งแรงอย่างยั่งยืน

4. Book of good health หนังสือที่ให้คำแนะนำเกี่ยวกับเรื่องของไลฟ์สไตล์ประกอบไปด้วยสองส่วนหลัก คือ 1. คำแนะนำเกี่ยวกับการดูแลสุขภาพต่างๆ ทั้งในเรื่องของอาหาร การออกกำลังกาย การจัดการความเครียด และการนอนหลับ 2. เกณฑ์ประเมินระดับสุขภาพในแต่ละบุคคล

 หากท่านต้องการที่จะนัดหมายเพื่อเข้าโปรแกรม Personalized Lifestyle Medicine สามารถเข้ามารับคำแนะนำได้ที่ พรีโมแคร์ เมดิคอล คลินิก ที่พร้อมดูแลรักษาสุขภาพร่างกายของท่านอย่างครบถ้วน สามารถสอบถามหรือนัดหมายล่วงหน้าที่นี่ 

บทความที่เกี่ยวข้อง