Categories
Uncategorized

กระดูกสันหลังคดรักษาได้ด้วยกายภาพบำบัด

    /    บทความ    /    กระดูกสันหลังคดรักษาได้ด้วยกายภาพบำบัด

กระดูกสันหลังคดรักษาได้
ด้วยกายภาพบำบัด

กระดูกสันหลังคดรักษาได้ด้วยกายภาพบำบัด

โรคกระดูกสันหลังคดเป็นโรคที่สามารถเกิดได้ทุกวัยตั้งแต่เด็กไปจนถึงผู้ใหญ่ ซึ่งกระดูกสันหลังคด อาการหรือสัญญาณที่สามารถสังเกตได้ เช่น สะโพกไม่เท่ากัน ไหล่สองข้างไม่เท่ากัน ลำตัวเอียงไปด้านใดด้านหนึ่ง เป็นต้น ซึ่งแนวทางในการรักษากระดูกสันหลังคดนั้นขึ้นอยู่กับระดับของอาการ คนไข้ที่มีลักษณะอาการดังกล่าว หรือสงสัยว่าเป็นโรคกระดูกสันหลังคด สามารถรับการตรวจจากแพทย์ เพื่อการวินิจฉัยที่ชัดเจน และการวางแผนการดูแลสุขภาพหรือแนวทางการรักษาต่อไป 

โรคกระดูกสันหลังคด (Scoliosis)

โรคกระดูกสันหลังคด หมายถึง การผิดรูปของแนวกระดูกสันหลัง ที่มีการคดออกไปด้านข้าง หรือการที่กระดูกสันหลังเบี้ยวเป็นรูปตัวเอส “S” หรือ ตัว “C” สาเหตุเกิดได้ตั้งแต่กำเนิด หรือเกิดจากการที่มีพฤติกรรมที่ไม่เหมาะสม เช่น การนั่งตัวงอ การนั่งตัวเอียง การยืนลงน้ำหนักทั้งสองข้างไม่เท่ากัน การยืนพักขาบ่อย ๆ หรือการถ่ายน้ำหนักไปข้างใดข้างหนึ่งมากเกินไป

สามารถสังเกตอาการด้วยตนเอง เช่น สังเกตจากการระดับของหัวไหล่ทั้ง 2 ข้างไม่เท่ากัน หรือสังเกตจากบริเวณแนวกระดูกสันหลังว่าจะมีด้านหนึ่งนูนขึ้นและอีกข้างหนึ่งยุบตัวลง นอกจากนี้ยังสังเกตได้จากสะโพกว่ามีการบิดไปด้านใดด้านหนึ่ง กรณีที่มีอาการปวดหลังเรื้อรังโดยไม่ทราบสาเหตุ อาจเกิดจากภาวะกระดูกสันหลังคดได้เช่นกัน รวมถึงอาการต่างๆ ดังนี้

  • แนวกระดูกสันหลังไม่ตรง
  • ระดับหัวไหล่หรือบ่าทั้ง 2 ข้างไม่เท่ากัน สะบักหรือกระดูกมีการนูนตัวมากกว่าอีกด้านหนึ่ง
  • ศีรษะไม่อยู่กึ่งกลางในระหว่างแนวกระดูกเชิงกรานทั้ง 2 ข้าง
  • สะโพกด้านใดด้านหนึ่งยกขึ้นสูงกว่าอีกด้าน
  • กระดูกซี่โครงมีระดับความสูงไม่เท่ากัน
  • ระดับเอวไม่เท่ากัน
  • ลำตัวเอียงไปด้านใดด้านหนึ่ง

กระดูกสันหลังคด ส่งผลกระทบต่อชีวิตประจำวัน

     เมื่อแกนกระดูกสันหลังคดเอียง ส่งผลให้ลำตัวเอียงไปตามๆ กัน ยิ่งกระดูกสันหลังเอียงทำมุมมากขึ้น ร่างกายก็จะพยายามปรับตัวโดยการดึงให้แกนตัวกลับตรง ส่งผลให้กระดูกสันหลังปล้องข้างเคียงเกิดการคดเอียงเพิ่มเติมได้ในอนาคต อาการข้างเคียงที่ทำให้ผู้ป่วยต้องพบเจอเพิ่มเติม คือ 

  • กระดูกสันหลังเสื่อมได้เร็วขึ้นกว่าคนทั่วไป 
  • เกิดความไม่มั่นใจ ด้วยอาการเจ็บป่วยที่ส่งผลต่อรูปลักษณ์ภายนอก
  • ปวดหลังได้ง่าย 
  • สำหรับผู้ป่วยที่มีกระดูกสันหลังช่วงอกคดมาก อาจส่งผลต่อระบบหายใจ ปอดขยายได้น้อยลง หายใจไม่เต็มที่ เหนื่อยง่าย
  • ในกลุ่มผู้สูงอายุ ที่กระดูกสันหลังคดจากความเสื่อม อาจส่งผลให้มีอาการที่เกิดจากการเบียดเส้นประสาทได้ เช่น ปวดร้าวลงขา ขาชา และขาอ่อนแรง

กายภาพบำบัดรักษากระดูกสันหลังคด

เมื่อพบภาวะกระดูกสันหลังคด การรักษาทางกายภาพบำบัดตั้งแต่ระยะแรกนั้นเป็นอีกวิธีการหนึ่งที่ช่วยชะลอการเพิ่มมุมการคดของกระดูกสันหลังได้ โดยนักกายภาพบำบัดจะทำการตรวจประเมิน วิเคราะห์ภาวะกระดูกสันหลังคด และออกแบบแนวทางการทำกายภาพบำบัดที่เหมาะสมกับแต่ละบุคคล ในกรณีที่กระดูกสันหลังคดไม่มาก มักมีสาเหตุจากพฤติกรรมที่ใช้ในชีวิตประจำวัน ซึ่งสามารถทำกายภาพบำบัด โดยมีขั้นตอนดังนี้

  • ตรวจประเมินและวิเคราะห์ปัญหาในภาวะกระดูกสันหลังคด
  • ให้การรักษา โดยอธิบายและให้ความรู้ทางด้านสรีระ และโครงสร้างของภาวะกระดูกสันหลังคด  เพื่อให้เกิดความเข้าใจมากขึ้น
  • จัดท่าทางในชีวิตประจำวัน ฝึกการทรงท่า และการหายใจที่ถูกต้อง
  • รักษาโดยการออกกำลังกาย : จัดโปรแกรมการออกกำลังกายแบบเฉพาะที่เหมาะสมต่อลักษณะของกระดูกสันหลังคดในแต่ละรูปแบบ , การออกกำลังกายเพิ่มกำลังกล้ามเนื้อ, ออกกำลังกายเพิ่มความยืดหยุ่น, ออกกำลังกายเพิ่มความมั่นคงของแกนกลาง
  • รักษาโดยใช้ศาสตร์ของกายภาพบำบัด อาทิ การขยับข้อต่อ การคลายกล้ามเนื้อและพังผืด
หากท่านต้องการนัดหมายเพื่อเข้ารับการตรวจรักษาจากทีมแพทย์พรีโมแคร์ เพื่อรักษาอาการกระดูกสันหลังคด รวมถึงปรึกษานักกายภาพบำบัด สามารถเข้ามารับคำแนะนำได้ที่พรีโมแคร์ เมดิคอล คลินิก
 

Reference:

      บทความที่เกี่ยวข้อง

      Categories
      Uncategorized

      Brownout Syndrome ไม่ใช่แค่หมดไฟ แต่คือหมดใจในการทำงาน

          /    บทความ    /    Brownout Syndrome ไม่ใช่แค่หมดไฟ แต่คือหมดใจในการทำงาน

      Brownout Syndrome ไม่ใช่แค่หมดไฟ แต่คือหมดใจ
      ในการทำงาน

      Brownout Syndrome ไม่ใช่แค่หมดไฟ แต่คือหมดใจในการทำงาน

      Brownout Syndrome คือภาวะหมดใจในการทำงานที่รุนแรงกว่า Burnout Syndrome เป็นอาการระยะยาว ที่สะสมมามาเป็นระยะเวลานาน จากประสบการณ์ในการทำงาน ที่ก่อให้เกิดความทุกข์ทรมานกับสภาพแวดล้อม ผู้คน หรือเงื่อนไขในองค์กรนั้นๆ จนเหนื่อยใจ หมดความภักดี ไม่อยากจะทุ่มเท ไม่อยากเป็นส่วนหนึ่งของทีมอีกต่อไป และอาจนำมาสู่การลาออกในที่สุด 

      สาเหตุที่ทำให้คนหมดใจ

      อาการหมดใจในการทำงาน หรือ Brownout Syndrome มักเกิดขึ้นกับคนที่มีความสามารถมากกว่าคนอื่น สาเหตุอาจมาจากเพื่อนร่วมงาน กฎขององค์กร การได้รับผลตอบรับไม่ดีในการทำงาน ซึ่งคนที่มีอาการ Brownout ยังสามารถทำงานได้อย่างปกติ เพียงแต่ความผูกพันธ์ของพนักงานกับองค์กรลดลง โดยมีสาเหตุดังนี้

      • กฎระเบียบในองค์กรที่จุกจิก และไม่เป็นธรรม กฎที่จุกจิกและไม่มีความยืดหยุ่นจะทำให้พนักงานกดดัน และเกิดความอึดอัดใจได้ รวมถึงความไม่เป็นธรรม เช่น การยืดหยุ่นกฎระเบียบให้กับคนบางกลุ่ม ซึ่งความไม่ยุติธรรมนี้ เป็นตัวสร้างอคติและความบาดหมางในองค์กร
      • ทำได้มากกว่า แต่ผลตอบแทนเสมอกัน สาเหตุหลักที่ทำให้คนเก่งๆ ทยอยออกจากองค์กร คือ การไม่ได้รับผลตอบแทนที่คุ้มค่า สิ่งนี้จะทำให้พนักงานรู้สึกว่า จะทำดีไปทำไม หากเป็นแบบนี้ต่อไปเรื่อยๆ พนักงานที่ตั้งใจทำงานอาจเริ่มหมดใจ และเริ่มมองหาองค์กรใหม่ที่ให้ผลตอบแทนคุ้มค่ากับการลงแรงมากกว่า
      • หัวหน้างานเอาแต่ใจ ไม่เข้าใจความเป็นมนุษย์ ความเอาแต่ใจ ไม่เปิดรับความเห็นต่างของหัวหน้า ไม่ฟังเหตุผล ขาดความเห็นใจ ไม่ยอมรับผิด พนักงานหลายคนจึงไม่อยากรองรับอารมณ์ และพลังงานลบๆ อีกต่อไป
      • เป้าหมายในการทำงานไม่ชัดเจน เมื่อไม่เห็นเป้าหมายของงานที่ทำ พนักงานหลายคนจึงเริ่มหมดใจ เพราะไม่รู้ว่าสิ่งที่ตัวเองทำนั้นมีประโยชน์ หรือมีคุณค่ากับองค์กรมากน้อยแค่ไหน

      สัญญาณเตือนภาวะหมดใจ

      • อาการทางอารมณ์ : หดหู่ เศร้า อารมณ์เปลี่ยนแปลงง่าย หงุดหงิด ไม่พอใจในงานที่ทำ
      • อาการทางความคิด : เริ่มมองงานหรือคนอื่นในแง่ร้าย ระแวงง่ายขึ้น โทษคนอื่น สงสัยความสามารถของตนเอง และอยากเลี่ยงปัญหา
      • อาการทางพฤติกรรม : หุนหันพลันแล่น ผัดวันประกันพรุ่ง ทำกิจกรรมสร้างความสุขลดลง เริ่มมาทำงานสายบ่อยขึ้น บริหารจัดการเวลาแย่ลง

      หากภาวะหมดไฟไม่ได้รับการจัดการ อาจส่งผลดังนี้

      • ด้านร่างกาย : มีอาการเหนื่อยล้าเรื้อรัง ปวดเมื่อย ปวดศีรษะ มีอาการออฟฟิศซินโดรม หรือไมเกรน
      • ด้านจิตใจ : สูญเสียแรงจูงใจ หมดหวัง บางรายอาจมีอาการของภาวะซึมเศร้า และนอนไม่หลับ อาจมีการใช้สารเสพติดเพื่อจัดการกับอารมณ์
      • การทำงาน : ขาดงานบ่อย ประสิทธิภาพการทำงานลดลง และคิดเรื่องลาออกในที่สุด

      วิธีป้องกันภาวะหมดใจในการทำงาน
      การป้องกันไม่ให้คนรู้สึกหมดใจในการทำงานต้องอาศัยความร่วมมือหลายส่วน ทั้งจากเพื่อนร่วมงาน หัวหน้างาน ไปจนถึงองค์กร ที่ต้องเปลี่ยนทัศนคติ ปรับระบบการทำงาน และวัฒนธรรมภายในองค์กรให้มีความยืดหยุ่นในการทำงานมากขึ้น 
      • เปิดใจคุย : หาโอกาสคุยกับหัวหน้างาน เกี่ยวกับเรื่องที่ทำให้เราหงุดหงิดใจ และหัวหน้าเองก็ควรมีการพูดคุยกับคนอื่นๆ เช่นกัน เพื่อเป็นการแลกเปลี่ยนความคิดเห็นในการทำงาน
      • หาความช่วยเหลือ : ขอคำปรึกษากับคนรอบข้างหรือนักจิตวิทยา เพราะคำแนะนำจากผู้เชี่ยวชาญอาจเป็นทางออกที่ช่วยเราให้ได้เห็นมุมมองที่แตกต่างได้
      • หาเป้าหมายใหม่ : การทำงานหนักเกินไป อาจทำให้เกิดการละเลยกับความต้องการของตัวเอง การจัดสรรเวลา ใส่ใจเป้าหมายของตัวเองจะช่วยสร้างสมดุลในการใช้ชีวิตให้มากขึ้น
      • สร้างสมดุลให้กับชีวิต : ใส่ใจสุขภาพ ความสัมพันธ์ การทำงาน อย่างเท่าเทียมกัน เพื่อให้สามารถใช้ชีวิตต่อไปได้อย่างมีความสุขมากยิ่งขึ้น

      ภาวะหมดไฟในการทำงานไม่ใช่โรคซึมเศร้า แต่ถ้าหากคนทำงานเริ่มมีอาการเศร้าหดหู่ เบื่อหน่ายสิ่งรอบตัว รู้สึกทุกข์ทรมานกับการใช้ชีวิต หรือมีความคิดไม่อยากมีชีวิตอยู่ ควรสงสัยว่าอาจเป็นโรคซึมเศร้าแนะนำให้ปรึกษาแพทย์หรือผู้เชี่ยวชาญ

      หากคุณรู้สึกว่ากำลังอยู่ในภาวะ ‘Brownout Syndrome’ สามารถเข้ามารับคำแนะนำได้ที่พรีโมแคร์ เมดิคอล คลินิก

      Reference:

                  บทความที่เกี่ยวข้อง

                  Categories
                  Uncategorized

                  อันตรายใกล้ตัวในฤดูฝน ภัยสุขภาพที่ป้องกันได้

                      /    บทความ    /    อันตรายใกล้ตัวในฤดูฝน ภัยสุขภาพที่ป้องกันได้

                  อันตรายใกล้ตัวในฤดูฝน
                  ภัยสุขภาพที่ป้องกันได้

                  อันตรายใกล้ตัวในฤดูฝน ภัยสุขภาพที่ป้องกันได้

                  กรมอุตุนิยมวิทยาประกาศว่า ฤดูฝนของประเทศไทยปีนี้ คาดว่าจะเริ่มประมาณปลายสัปดาห์ที่ 3 ของเดือนพฤษภาคม 2566 การเปลี่ยนแปลงของอากาศอาจนำมาซึ่งการเกิดโรคต่างๆ หลายชนิดที่แพร่ระบาดง่าย พรีโมแคร์อยากให้ทุกท่านดูแลสุขภาพก่อนเกิดโรค มาทำความรู้จักภัยร้ายหน้าฝนกับโรคต่างๆ กันดีกว่า

                  ภัยสุขภาพอันตรายในหน้าฝน

                  หน้าร้อนที่แสนอบอ้าวผ่านไปแล้ว เข้าสู่ความอึมครึมของฤดูฝนที่อากาศเย็นลงกว่าเดิม เป็นฤดูกาลที่หลายคนชื่นชอบ แต่รู้หรือไม่ว่าสายฝนที่ชุ่มฉ่ำอาจมาพร้อมโรคได้เช่นกัน มารู้จักโรค 3 กลุ่มที่มากับหน้าฝน พร้อมคำแนะนำในการป้องกันตัวเองให้สุขภาพดีตลอดฤดูฝนนี้มาฝากกัน

                   โรคติดต่อระบบทางเดินหายใจ 

                  • โรคไข้หวัดใหญ่ พบได้ทุกกลุ่มอายุ แต่จะพบมากในเด็ก และอัตราการเสียชีวิต มักพบในผู้ที่อายุ 65 ปีขึ้นไป, เด็กที่อายุต่ำกว่า 2 ปี,  ผู้ป่วยโรคเรื้อรัง เช่น โรคปอด โรคหัวใจ โรคไต เบาหวาน ภูมิคุ้มกันบกพร่อง, ผู้ที่มีน้ำหนักตั้งแต่ 100 กิโลกรัม หรือดัชนีมวลกายตั้งแต่ 35 กิโลกรัมต่อตารางเมตร, และหญิงตั้งครรภ์ ติดต่อจากการหายใจหรือสัมผัสละอองฝอยจากน้ำมูก น้ำลายที่ปนเปื้อนเชื้อ หากได้รับเชื้อจะมีอาการไข้สูงเฉียบพลัน หนาวสั่น ปวดศีรษะ ปวดเมื่อยกล้ามเนื้อ อ่อนเพลีย ไอ เจ็บคอ น้ำมูกไหล 
                  • โรคปอดอักเสบ ส่วนใหญ่เกิดจากเชื้อไวรัสและแบคทีเรีย พบได้ทุกกลุ่มอายุ โดยเฉพาะผู้ที่มีภูมิคุ้มกันบกพร่อง และผู้ที่มีโรคประจำตัว ติดต่อจากการสัมผัสกับผู้ติดเชื้อ การหายใจนำเชื้อที่ปนเปื้อนในอากาศ ผ่านการไอหรือจาม หากได้รับเชื้อมักจะมีไข้ ไอ และหายใจหอบเหนื่อยอย่างเฉียบพลัน 

                  ซึ่งทั้งสองโรคสามารถป้องกันได้ด้วยการรักษาสุขภาพ พักผ่อนให้เพียงพอ ทำร่างกายให้อบอุ่น หมั่นล้างมือบ่อยๆ ด้วยน้ำและสบู่ หรือแอลกอฮอล์เจล ไม่ใช้ของส่วนตัวร่วมกับผู้อื่น และสวมหน้ากากอนามัยทุกครั้งที่ออกนอกบ้าน

                   โรคติดต่อทางเดินอาหารและน้ำ 

                  • โรคอุจจาระร่วง ติดต่อโดยการรับประทานอาหารหรือน้ำที่มีการปนเปื้อนของเชื้อก่อโรคอาการที่อาจพบ ได้แก่ ปวดท้อง ถ่ายเหลว มีไข้ต่ำๆ อ่อนเพลีย คลื่นไส้ อาเจียน

                  สามารถป้องกันได้ โดยการล้างมือให้สะอาดทั้งก่อนและหลังประกอบอาหาร รับประทานอาหาร หรือหลังเข้าห้องน้ำทุกครั้ง ดื่มน้ำสะอาด น้ำต้มสุกหรือน้ำบรรจุขวดที่มีฝาปิดสนิท รับประทานอาหารที่สะอาดและปรุงสุกใหม่ หากต้องการรับประทานอาหารค้างมื้อ ควรอุ่นให้ร้อนก่อนรับประทานทุกครั้ง 

                  โรคติดต่อนำโดยยุงลาย 

                  • โรคไข้เลือดออก มียุงลายเป็นพาหะนำโรค ผู้ป่วยจะมีไข้สูง ปวดศีรษะ ปวดกล้ามเนื้อ ปวดกระดูก มีจุดแดงที่ผิวหนัง หากมีอาการรุนแรงอาจช็อกได้
                  • โรคไข้ปวดข้อยุงลายหรือโรคชิคุนกุนยา มียุงลายเป็นพาหะนำโรคอาการของโรค ได้แก่ มีไข้สูงฉับพลัน ปวดศีรษะ ปวดเมื่อยตามตัว คลื่นไส้ อาเจียน อ่อนเพลีย ผื่นแดงตามตัวแต่ไม่คัน มักหายไปภายใน 7 – 10 วัน และมีอาการปวดข้อตามหลังอาการผื่น ภายใน 1 – 10 วัน

                  ป้องกันโรคติดต่อนำโดยยุงลายเป็นพาหะนำโรค ได้ด้วยการสำรวจพื้นที่ที่มีน้ำขังและร่วมกันกำจัดแหล่งเพาะพันธุ์ยุงลายในบริเวณรอบบ้านเก็บบ้าน ให้สะอาด เช่น พับเก็บเสื้อผ้าใส่ในตู้หรือแขวนให้เรียบร้อย ไม่ให้มีมุมอับทึบ เก็บขยะที่อยู่บริเวณรอบบ้าน ล้างคว่ำภาชนะใส่น้ำ เปลี่ยนน้ำในกระถางหรือแจกันทุกสัปดาห์ ป้องกันไม่ให้ยุงลายวางไข่

                  รักษาสุขภาพให้แข็งแรงป้องกันภัยร้ายหน้าฝน 
                  • สวมหน้ากากอนามัย และเปลี่ยนทันทีเมื่อหน้ากากชื้น
                  • อาบน้ำ สระผมทันทีเมื่อกลับถึงบ้าน
                  • สระผมแล้วต้องเช็ดหรือเป่าผมให้แห้ง
                  • รักษาร่างกายให้อบอุ่นอยู่เสมอ
                  • หลีกเลี่ยงสถานที่แออัด
                  • ดื่มน้ำสะอาดอย่างน้อย 1.5 ลิตรต่อวัน
                  • พักผ่อนให้เพียงพอ และออกกำลังกายเพื่อสร้างภูมิคุ้มกัน
                  หากท่านต้องการที่จะนัดหมายรับคำปรึกษาจากแพทย์ สามารถเข้ามารับคำแนะนำได้ที่พรีโมแคร์ เมดิคอล คลินิก ที่พร้อมดูแลรักษาสุขภาพร่างกายของท่านอย่างครบถ้วน 

                  Reference:

                            บทความที่เกี่ยวข้อง

                            Categories
                            Uncategorized

                            วัคซีนป้องกันมะเร็งปากมดลูกสำคัญกว่าที่คิด

                                /    บทความ    /    วัคซีนป้องกันมะเร็งปากมดลูกสำคัญกว่าที่คิด

                            วัคซีนป้องกันมะเร็งปากมดลูกสำคัญกว่าที่คิด

                            วัคซีนป้องกันมะเร็งปากมดลูกสำคัญกว่าที่คิด

                            ผู้หญิงไทยประมาณ 6,000-8,000 คนต่อปี ติดเชื้อและเสียชีวิตจากโรคมะเร็งปากมดลูก โดยมีอัตราการเสียชีวิต 8-10 คนในหนึ่งวัน มะเร็งปากมดลูกเป็นโรคที่พบมากในหญิงไทยเป็นอันดับ 2 รองจากมะเร็งเต้านม ทั้งนี้ไวรัสชนิดนี้จะใช้เวลาเฉลี่ย 5-10 ปี ในการเปลี่ยนแปลงเซลล์ปากมดลูกให้กลายเป็นมะเร็งปากมดลูก โดยผู้หญิงที่เคยผ่านการมีเพศสัมพันธ์ จะมีความเสี่ยงในการติดเชื้อไวรัส HPV สูงถึง 80% ทั้งนี้มะเร็งปากมดลูกสามารถป้องกันได้ ด้วยการตรวจคัดกรองมะเร็งปากมดลูกทุกปี และฉีดวัคซีนป้องกันเชื้อไวรัส HPV

                            มะเร็งปากมดลูก (Cervical Cancer)

                            มะเร็งปากมดลูกส่วนใหญ่จะพบในผู้หญิงวัย 30 – 55 ปี เกิดจากการติดเชื้อไวรัส HPV หรือ Human Papilloma Virus ซึ่งสามารถติดต่อทางเพศสัมพันธ์ เป็นสาเหตุสำคัญของการติดเชื้อเนื้อเยื่อบุผิวที่ก่อให้เกิดโรคมะเร็งปากมดลูก และยังสามารถก่อให้เกิดมะเร็งชนิดอื่นๆ เช่น มะเร็งช่องคลอด มะเร็งปากช่องคลอด รวมถึงโรคหูดหงอนไก่ด้วย โดยเชื้อไวรัส HPV ที่เป็นสาเหตุของมะเร็งปากมดลูกมีมากกว่า 40 สายพันธุ์ แต่สายพันธุ์ที่เป็นปัจจัยเสี่ยงในการเกิดมะเร็งปากมดลูกที่พบบ่อยมี 2 สายพันธุ์คือ สายพันธุ์ 16 และ 18 

                            ทั้งนี้ผู้ติดเชื้อ HPV โดยส่วนใหญ่จะไม่แสดงอาการในช่วงแรก การแสดงอาการของโรคอาจเกิดขึ้นหลายปีหลังได้รับเชื้อและสามารถแพร่เชื้อไปยังคนอื่นได้ โดยผู้ป่วยมะเร็งปากมดลูกจะมีอาการของโรคที่หลากหลาย เช่น เลือดออกทางช่องคลอด อ่อนเพลีย ปวดเชิงกรานและหลัง ประจำเดือนมามากหรือนานกว่าปกติ ปัสสาวะเป็นเลือด เบื่ออาหาร น้ำหนักลด เป็นต้น

                                    การป้องกัน-รักษามะเร็งปากมดลูก 

                                    เนื่องจากมะเร็งปากมดลูกเป็นหนึ่งในมะเร็งที่ป้องกันได้ โดยการป้องกันสามารถทำได้ง่ายกว่าการรักษา ขั้นตอนการป้องกันและรักษาสามารถแบ่งออกได้เป็นสามขั้นตอน ดังนี้

                                    1. การป้องกันแบบปฐมภูมิ (Primary Prevention) หมายถึงการป้องกันก่อนติดเชื้อ  โดยทั่วไปมักหมายถึงการส่งเสริมเพื่อให้มีสุขภาพดียาวนานที่สุด เช่น การฉีดวัคซีนป้องกันการติดเชื้อ HPV สายพันธุ์หลักที่ทำให้เกิดมะเร็ง การใช้ถุงยางอนามัย การระมัดระวังไม่ให้สัมผัสถูกเชื้อ และการตรวจคัดกรองเชื้ออย่างสม่ำเสมอ
                                    2. การป้องกันแบบทุติยภูมิ (Secondary Prevention) หมายถึง การตรวจคัดกรองมะเร็งปากมดลูกเป็นประจำปีละครั้ง เพื่อตรวจหาเชื้อให้เจอก่อนที่จะลุกลามเป็นมะเร็ง หรือระยะก่อนลุกลาม (pre-invasive) โดยใช้วิธีการตรวจแปปสเมียร์ (Pap Smear) ซึ่งเป็นการตรวจคัดกรองมะเร็งปากมดลูก โดยการใช้เครื่องมือสอดผ่านทางช่องคลอด และทำการป้ายเซลล์จากมดลูก เพื่อส่งตรวจหาเซลล์ที่ผิดปกติ หรือเซลล์ที่มีการเปลี่ยนแปลงที่อาจทำให้เกิดมะเร็งได้ สำหรับผู้หญิงที่อายุ 35-55 ปี รวมถึงผู้หญิงทุกคนที่เคยผ่านการมีเพศสัมพันธ์แล้วควรที่จะได้รับการตรวจทุกปี
                                    3. การป้องกันแบบตติยภูมิ (Tertiary Prevention) คือ การรักษาผู้ป่วยที่เป็นมะเร็งปากมดลูกเพื่อให้หายจากโรค โดยวิธีการรักษานั้นจะขึ้นอยู่กับบุคคล เช่น การผ่าตัด การใช้เคมีบำบัด หรือการใช้รังสีรักษา เป็นต้น 
                                    ในการฉีดวัคซีนจะต้องฉีดทั้งหมด 3 เข็ม ภายในระยะเวลา 6 เดือน โดยความสามารถในการป้องกันการติดเชื้อจะเกิดขึ้นภายใน 1 เดือน หลังจากได้รับวัคซีนครบ 3 เข็ม หากท่านต้องการที่จะนัดหมายเพื่อฉีดวัคซีนป้องกันมะเร็งปากมดลูก หรือรับคำปรึกษาจากแพทย์ผู้เชี่ยวชาญ สามารถเข้ามารับคำแนะนำได้ที่พรีโมแคร์ เมดิคอล คลินิก

                                    Reference:

                                              บทความที่เกี่ยวข้อง

                                              Categories
                                              Uncategorized

                                              ตรวจสุขภาพประจำปีจำเป็นจริงหรือ?

                                                  /    บทความ    /    ตรวจสุขภาพประจำปีจำเป็นจริงหรือ?

                                              ตรวจสุขภาพประจำปี
                                              จำเป็นจริงหรือ?

                                              ตรวจสุขภาพประจำปีจำเป็นจริงหรือ?

                                              การตรวจสุขภาพ คือ การตรวจร่างกายในภาวะที่ร่างกายเป็นปกติดีไม่มีอาการเจ็บป่วย โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อการค้นหาปัจจัยเสี่ยงและภาวะผิดปกติเพื่อให้ทราบแนวทางป้องกันการเกิดโรค หรือพบโรคตั้งแต่ระยะเริ่มต้นซึ่งจะช่วยเพิ่มประสิทธิภาพของการรักษา

                                              ทั้งนี้การตรวจสุขภาพประจำปี คือการตรวจป้องกัน (Preventive Medical Services) โดยการตรวจเพื่อส่งเสริมสุขภาพในทุกเพศวัย เพื่อรู้ทันความผิดปกติก่อนที่จะเกิดโรค นำไปสู่การป้องกันและวางแผนการรักษาอย่างทันท่วงที

                                              ตรวจสุขภาพประจำปี

                                              โดยปกติหากไม่มีอาการเจ็บไข้ได้ป่วย ทุกคนควรได้รับการตรวจสุขภาพอย่างน้อยปีละครั้ง โดยรายละเอียดของการตรวจจะแตกต่างกันไปในแต่ละช่วงอายุ และปัจจัยเสี่ยงต่อการเกิดโรคต่างๆ โดยข้อดีของการตรวจสุขภาพประจำปีมีดังนี้

                                              • ช่วยให้ทราบสุขภาวะ และความสมบูรณ์ของร่างกาย ส่งผลให้สามารถปฏิบัติตัวในชีวิตประจำวันได้เหมาะสมกับสถานะสุขภาพ
                                              • ช่วยให้ค้นพบความผิดปกติหรือโรคต่างๆ หาแนวโน้มหรือความเสี่ยงของโรคที่อาจเกิดขึ้นแบบไม่รู้ตัว ได้ตั้งแต่ในระยะเริ่มต้น ซึ่งจะช่วยให้คนไข้สามารถรักษาได้อย่างทันท่วงที ป้องกันไม่ให้ความผิดปกติลุกลามมากขึ้น 
                                              • ช่วยให้ติดตามและประเมินสุขภาพของผู้ป่วย เพื่อให้แพทย์ให้การรักษาได้อย่างเหมาะสม
                                              • รับวัคซีนประจำปี นอกเหนือจากการตรวจสุขภาพ แพทย์อาจสอบถามประวัติการรับวัคซีนและให้คำแนะนำเกี่ยวกับการฉีดวัคซีนที่เหมาะสมประจำปีด้วย
                                              • ลดความสูญเสีย ทั้งด้านสุขอนามัย และด้านการเงิน หากค้นพบอาการหรือที่มาขอโรคได้ทันท่วงทีจะช่วยยับยั้งความรุนแรงได้อย่างมีประสิทธิภาพและรวดเร็วมากยิ่งขึ้น
                                              ที่พรีโมเเคร์ออกแบบโปรแกรมตรวจสุขภาพประจำปีให้เหมาะสมกับผู้เข้ารับการตรวจ โดยคำนึงถึงอายุ ความเสี่ยง พฤติกรรมการใช้ชีวิต และความต้องการที่แตกต่างกัน จึงสามารถตรวจหาความเสี่ยงเพื่อป้องกันหรือรักษาได้ตั้งแต่เริ่มต้น โดยมีการเตรียมตัวให้พร้อมก่อนตรวจสุขภาพประจำปีดังนี้

                                              • พักผ่อนให้เพียงพอ อย่างน้อย 8 ชั่วโมง เพื่อให้ผลการตรวจแม่นยำ
                                              • งดดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ อย่างน้อย 24 ชั่วโมง
                                              • งดอาหารและเครื่องดื่ม (ยกเว้นน้ำเปล่า) อย่างน้อย 8-10 ชั่วโมง ในกรณีที่ตรวจหาน้ำตาลในเลือดและไขมันในเลือด
                                              • สำหรับสุภาพสตรี ไม่ควรอยู่ในช่วงที่มีประจำเดือน หากมีประจำเดือนให้งดตรวจปัสสาวะ เพราะเลือดจะปนเปื้อนในปัสสาวะ มีผลต่อการแปลผลการตรวจ
                                              • เตรียมตัวให้พร้อม หากมีโรคประจำตัวหรือยาที่ใช้ประจำให้รับประทานยาตามปกติ ทั้งนี้หากใช้ยารักษาเบาหวานอยู่ควรปรึกษาแพทย์ก่อน และนำผลการตรวจหรือรายงานจากแพทย์มาเพื่อประกอบการวินิจฉัย

                                                      ขั้นตอนการตรวจสุขภาพประจำปี

                                                      ทุกคนควรเข้ารับการตรวจสุขภาพอย่างน้อยปีละ 1 ครั้ง ในทุกเพศ ทุกวัย ตั้งแต่กลุ่มอายุ 19-60 ปี เพื่อค้นหาแนวโน้มหรือความเสี่ยงของโรคที่อาจเกิดขึ้นแบบไม่รู้ตัว ส่วนกลุ่มเสี่ยงที่ควรมาติดตามสุขภาพทุกๆ 3-6 เดือน ได้แก่ กลุ่มเสี่ยงเป็นเบาหวาน ระดับไขมันในเลือดผิดปกติ ผู้ที่เป็นโรคเรื้อรังต้องทานยาจำนวนมาก เป็นต้น เพราะการปล่อยทิ้งไว้นานเกินไป ไม่ได้ติดตามอาการ จะทำให้มีความเสี่ยงที่จะเกิดภาวะแทรกซ้อนจากโรคต่างๆ หรือเกิดสภาวะอันตรายขึ้นได้ โดยการตรวจสุขภาพประจำปีมีรายละเอียดดังนี้

                                                       การซักประวัติ

                                                      การซักประวัติเป็นหัวใจสำคัญของกระบวนการประเมินภาวะสุขภาพ องค์ประกอบหลักในการประเมินภาวะสุขภาพประกอบด้วย ส่วนที่เป็นประวัติสุขภาพ การตรวจร่างกาย และการตรวจทางห้องปฏิบัติการ การซักประวัติจะเป็นการรวบรวมข้อมูลที่เกี่ยวข้องกับประวัติสุขภาพทั้งในอดีตและปัจจุบันทำให้ได้ข้อสรุปของประเด็นที่เป็นปัญหาด้านสุขภาพในทุกๆด้าน ประกอบไปด้วย

                                                      • สุขภาพทั่วไป/ พฤติกรรมสุขภาพ เช่น การกินอาหาร การออกกำลังกาย
                                                      • การสูบบุหรี่/ดื่มสุรา/ ใช้สารเสพติดใน 3เดือนที่ผ่านมา
                                                      • พฤติกรรมทางเพศ/ การป้องกันโรคทางเพศสัมพันธ์/ การคุมกำเนิด
                                                      • ประวัติการป่วยเป็นโรคมะเร็งในครอบครัว เพื่อประเมินความสี่ยงทางพันธุกรรม
                                                      • การได้รับวัคซีนที่จำเป็น เพิ่มความตระหนักในการดูแลสุขภาพตนเอง

                                                       การตรวจร่างกายและการประเมินภาวะสุขภาพ

                                                      คือการตรวจเบื้องต้น เช่น การตรวจวัดความดันโลหิต ตรวจหาดัชนีมวลกาย ประกอบกับการตรวจร่างกายเบื้องต้นโดยแพทย์ ซึ่งจะช่วยให้สามารถแยกโรคได้ในระดับหนึ่ง โดยมีรายละเอียดดังนี้

                                                      • การวัดชีพจร และวัดความดันโลหิต เพื่อเป็นข้อมูลทางสุขภาพเบื้องต้นเพื่อประเมินการเปลี่ยนแปลงของภาวะสุขภาพของบุคคลโดยเฉพาะการวัดความดันโลหิต
                                                      • การชั่งน้ำหนัก วัดส่วนสูง มีประโยชน์ในการประเมินสภาวะทั่วไป เช่น ภาวะโภชนาการได้แก่ ดัชนีมวลกาย (body mass index, BMI) ซึ่งเป็นปัจจัยเสี่ยงต่อการเกิดโรคเรื้อรังที่เป็นปัญหาของกลุ่มวัยทำงาน
                                                      • การวัดเส้นรอบเอว ประเมินภาวะอ้วนลงพุงซึ่งเป็นปัจจัยเสี่ยงที่สำคัญ นำไปสู่โรคหัวใจและหลอดเลือด

                                                       การตรวจสุขภาพช่องปากและฟัน 

                                                      มีคำแนะนำจาก National Institute for Health and Care Excellence (NICE): ให้ตรวจสุขภาพช่องปากและฟันในผู้ที่มีอายุ18 ปีขึ้นไป ทุก 1 ปี

                                                       การตรวจตา 
                                                      โดยให้ตรวจในผู้ที่มีอายุ 40-65 ปีตรวจทุก 2 ปีซึ่งมีข้อมูลการศึกษาพบว่าความบกพร่องทางสายตามีความสัมพันธ์กับอายุผู้ที่มีอายุ 40 ปีขึ้นไปมีความเสี่ยงต่อโรคตาสูงขึ้น

                                                       การตรวจเต้านม 
                                                      โรคมะเร็งเต้านมในระยะแรกมักจะไม่แสดงอาการการป้องกันที่ดีที่สุดคือการค้นหาความผิดปกติของเต้านมให้เร็วที่สุดเพื่อเพิ่มโอกาสในการรักษาและการรอดชีวิตและผลการรักษามะเร็งเต้านมในระยะแรก

                                                       การประเมินความเสี่ยงโรคหัวใจ หลอดเลือด และโรคเบาหวาน 
                                                      โดยแสดงผลการประเมินเป็นความเสี่ยงต่อการเสียชีวิตหรือเจ็บป่วยจากโรคเส้นเลือดหัวใจตีบตันและโรคเส้นเลือดสมองตีบตัน รวมถึงภาวะแทรกซ้อนในโรคเบาหวาน

                                                       การประเมินภาวะซึมเศร้า 
                                                      ประเมินภาวะซึมเศร้าด้วยแบบคัดกรองโรคซึมเศร้าชนิด2คำถาม (Two-questions-screening test for depression disorders)

                                                       การตรวจทางห้องปฏิบัติการ
                                                      • การตรวจความสมบูรณ์ของเม็ดเลือด
                                                      • การตรวจระดับไขมันในเลือด
                                                      • การตรวจระดับน้ำตาลในเลือดขณะอดอาหาร
                                                      • การตรวจคัดกรองความเสี่ยงโรคมะเร็ง
                                                      • การตรวจมะเร็งปากมดลูก

                                                      ท่านสามารถปรึกษา หรือทำการนัดหมายเพื่อตรวจสุขภาพประจำปี ได้ที่ พรีโมแคร์ เมดิคอล คลินิก สามารถสอบถามเกี่ยวกับโรคเรื้อรังอื่นๆ หรือทำการนัดหมายล่วงหน้า ได้ที่พรีโมแคร์ เมดิคอล คลินิก

                                                      Reference:

                                                                บทความที่เกี่ยวข้อง