/    บทความ    /    9 วิธีรักษากรดไหลย้อนให้หายขาดแบบธรรมชาติ ไม่ต้องพึ่งยา

9 วิธีรักษากรดไหลย้อนให้หายขาดแบบธรรมชาติ ไม่ต้องพึ่งยา

9 วิธีรักษากรดไหลย้อนให้หายขาดแบบธรรมชาติ
ไม่ต้องพึ่งยา

ผู้ชายกำลังกุมช่วงอกด้วยอาการแสบร้อนกลางอกจากกรดไหลย้อน พร้อมบอกลาอาการเรอเปรี้ยวด้วยวิธีรักษากรดไหลย้อนแบบธรรมชาติ

อาการแสบร้อนกลางอก แน่นหน้าอก เรอเปรี้ยว รู้สึกเหมือนมีก้อนอยู่ในลำคอคือสัญญาณของกรดไหลย้อนที่มารบกวนใจได้ในบางครั้งบางคราว และก่อนที่อาการเหล่านี้จะเรื้อรังจนต้องไปพบแพทย์หรือเข้ารับการผ่าตัด เรามาดูวิธีรักษากรดไหลย้อนให้หายขาดง่ายๆ โดยไม่ต้องใช้ยา ที่คุณหมอพรีโมแคร์แนะนำในบทความนี้กันเลย 

กรดไหลย้อนเกิดจากอะไร? 

ก่อนอื่นเรามาทำความเข้าใจกันก่อนว่าเหตุใดกรดไหลย้อนจึงมากวนใจและบางครั้งก็ทรมานจนใช้ชีวิตลำบาก อาการกรดไหลย้อนนั้นเกิดจากการไหลย้อนกลับของสารคัดหลั่งในกระเพาะอาหาร โดยปกติแล้วเมื่อเรากลืนอาหารลงไป กล้ามเนื้อหูรูดของหลอดอาหารจะคลายตัวลงเพื่อเปิดทางให้อาหารและน้ำไหลเข้าไปยังกระเพาะอาหาร จากนั้นกล้ามเนื้อหูรูดก็จะปิดลงอีกครั้ง แต่หากกล้ามเนื้อนี้หย่อนตัวผิดปกติหรืออ่อนแอลงจนปิดไม่สนิท กรดในกระเพาะอาหารก็จะไหลย้อนกลับไปที่บริเวณหลอดอาหารและมักทำให้หลอดอาหารมีอาการอักเสบ โดยผู้ที่มีกรดไหลย้อนเรื้อรังอาจเกิดแผลตามมาได้อีกด้วย

วิธีรักษากรดไหลย้อนให้หายขาดโดยไม่ต้องใช้ยา

พฤติกรรมหลายๆ อย่างเป็นปัจจัยกระตุ้นให้เกิดกรดไหลย้อนได้โดยไม่รู้ตัว ลองมาเช็คลิสต์กันดูว่าพฤติกรรมของเราไม่เข้าข่ายข้อไหนบ้าง จากนั้นให้ลองสังเกตว่าอาการกรดไหลย้อนลดน้อยลงหรือไม่หลังจากปรับเปลี่ยนพฤติกรรมเหล่านี้แล้ว

1. เลี่ยงพฤติกรรมกินแล้วนอน การยืนหรือการนั่งช่วยให้กรดที่ปล่อยออกมาย่อยอาหารอยู่ในกระเพาะอาหารตามแรงโน้มถ่วง แต่การนอนนั้นจะเสี่ยงต่อการเกิดกรดไหลย้อนมากขึ้น หลังจากมื้ออาหารจึงควรเว้นระยะอย่างน้อย 2-3 ชั่วโมงก่อนจะเข้านอน เพื่อให้เวลาร่างกายย่อยอาหารให้หมดเสียก่อน และควรหลีกเลี่ยงการงีบหลับหลังมื้ออาหารหรือการกินของว่างก่อนเข้านอน

2. กินทีละน้อย และกินให้ช้าลง กระเพาะที่อัดแน่นด้วยอาหารจะทำให้เกิดการไหลย้อนกลับของกรดในกระเพาะ สำหรับวิธีแก้ให้ลองแบ่งส่วนมื้ออาหารให้เล็กลง หรือแบ่งเป็นมื้อเล็กๆ 4-5 มื้อต่อวัน แทนการกิน 3 มื้อ และเคี้ยวอาหารให้ละเอียดก่อนกลืน

3. เลี่ยงอาหารที่กระตุ้นให้เกิดกรดไหลย้อน เช่น หัวหอม กระเทียม สะระแหน่ (มินต์) มะเขือเทศ ช็อกโกแล็ต เครื่องดื่มที่มีคาเฟอีนอย่างชา กาแฟ น้ำอัดลม ผลไม้และน้ำผลไม้ที่มีรสเปรี้ยว รวมถึงอาหารที่มีไขมันสูง และอาหารที่มีรสเผ็ด หากกินอาหารเหล่านี้เป็นประจำ วิธีง่ายๆ คือให้ลองงดดูว่าอาการกรดไหลย้อนจะดีขึ้นหรือไม่ และกลับมากินทีละอย่างเพื่อระบุอาหารที่เป็นตัวกระตุ้น

4. หลังกินอาหารไม่ควรออกกำลังกายหรือเคลื่อนไหวเร็วเกินไป การเดินเพื่อย่อยอาหารนั้นสามารถทำได้ตามปกติ แต่หากเป็นการออกกำลังกายหนักๆ ที่ต้องใช้แรงหรือเคลื่อนไหวอย่างรวดเร็ว รวมถึงการโน้มตัว ก้มตัวต่ำ ให้รออย่างน้อย 2 ชั่วโมง และควรดื่มน้ำให้เพียงพอก่อนและหลังออกกำลังกาย

5. อย่านอนราบมากเกินไป ควรให้ศีรษะและหน้าอกอยู่สูงกว่าเท้า 6-8 นิ้ว โดยอาจใช้หมอนรองหลังเมมโมรี่โฟมหรือเตียงปรับระดับที่ช่วยปรับยกลำตัวช่วงบนขึ้น แต่ไม่ควรใช้กองหมอนหลายๆ ใบหนุน เพราะอาจไม่ได้รูปแบบการนอนที่ถูกต้อง และทำให้เกิดแรงกดที่ท้องจนอาการกรดไหลย้อนแย่ลงกว่าเดิมได้

6. ลดน้ำหนักหากมีน้ำหนักเกินเกณฑ์ เพราะน้ำหนักตัวที่เพิ่มขึ้นไม่เพียงทำให้เกิดแรงกดที่ท้อง แต่ยังส่งผลต่อโครงสร้างกล้ามเนื้อที่รองรับส่วนล่างของหลอดอาหาร ซึ่งจะทำให้แรงกดที่กล้ามเนื้อหูรูดลดลงและปิดไม่สนิท 

7. งดการสูบบุหรี่ สารนิโคตินในบุหรี่อาจเป็นสาเหตุให้กล้ามเนื้อหูรูดของหลอดอาหารหย่อนตัวลงจนกรดและเศษอาหารในกระเพาะไหลย้อนกลับขึ้นมา

8. ลดดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ เนื่องจากมีฤทธิ์ทำให้เกิดกรดในกระเพาะอาหารมากขึ้น ทั้งยังเพิ่มการคลายตัวของหูรูดหลอดอาหาร และส่งผลต่อความสามารถในการกำจัดกรดในหลอดอาหาร ลองหันมาผ่อนคลายความเครียดด้วยวิธีอื่นแทน เช่น ออกกำลังกาย เดิน ฝึกสมาธิ เหยียดยืดร่างกาย หรือหายใจเข้าออกช้าๆ

9. ไม่สวมใส่เสื้อผ้าที่รัดแน่น โดยเฉพาะเสื้อผ้าที่รัดบริเวณรอบเอว ซึ่งจะสร้างแรงกดต่อท้องและหลอดอาหารส่วนล่าง

นอกจากนี้ การใช้ยารักษาโรคบางอย่างก็อาจมีผลข้างเคียงเป็นอาการกรดไหลย้อนตามมาได้ เช่น การใช้ฮอร์โมนเอสโตรเจนรักษาภาวะหลังหมดประจำเดือน ยารักษาภาวะซึมเศร้าในกลุ่มไตรไซคลิก และยาแก้อักเสบที่มีฤทธิ์คลายตัวหูรูดหลอดอาหาร รวมถึงยาในกลุ่มบิสฟอสโฟเนต (Bisphosphonates) ที่ใช้รักษาโรคกระดูกพรุน และยาปฏิชีวนะ ซึ่งอาจก่อการระคายเคืองต่อหลอดอาหาร หากกำลังใช้ยาเหล่านี้แนะนำให้ปรึกษาแพทย์ที่สั่งจ่ายยาเพื่อป้องกันผลข้างเคียงที่เกิดขึ้น

หากลองเลี่ยงพฤติกรรมเสี่ยงตามวิธีเหล่านี้แล้วอาการกรดไหลย้อนยังมารบกวนใจอย่างต่อเนื่อง หรือมีอาการอักเสบจนรู้สึกเจ็บเมื่อกลืนอาหาร กลืนลำบาก มีอาการมากจนต้องใช้ยาลดกรดไหลย้อนตามร้านขายยามากกว่า 2 ครั้งต่อสัปดาห์ แนะนำให้มาพบแพทย์เพื่อวินิจฉัยสาเหตุอื่นๆ ที่เป็นไปได้ ผู้ป่วยบางรายอาจต้องใช้ยารักษากรดไหลย้อนที่สั่งจ่ายโดยแพทย์ไปพร้อมๆ กับการปรับพฤติกรรมเพื่อผลลัพธ์ที่ดียิ่งขึ้น 

ทั้งนี้ อาการกรดไหลย้อนอาจคล้ายคลึงภาวะหัวใจวายและสร้างความสับสน หากพบอาการที่บ่งชี้ภาวะหัวใจวาย เช่น เจ็บหน้าอก หายใจติดขัด ปวดบริเวณกรามหรือแขน ให้รีบไปพบแพทย์โดยเร็วที่สุด  

สุขภาพดีไม่มีคำว่ายาก เรียนรู้วิธีปรับไลฟ์สไตล์ สร้างเกราะป้องกันสุขภาพจากโรคเรื้อรัง กับ Lifestyle Coaching ที่พรีโมแคร์ เมดิคอล คลินิก ดูแลและให้คำแนะนำการปรับพฤติกรรมแบบเฉพาะตัวทุกด้าน โดยทีมแพทย์ผู้เชี่ยวชาญ นักจิตวิทยา นักกายภาพบำบัด และนักกำหนดอาหาร 

สอบถามข้อมูลเพิ่มเติม หรือนัดหมายล่วงหน้าที่ @primocare  
โทร 02-038-5595, 082-527-9924
คลิกดูหลากหลายบริการของเราที่นี่