ในช่วงเวลาที่เราทุกคนต่างได้รับผลกระทบจากการระบาดของโรคโควิด-19 ไม่ใช่เรื่องง่ายเลยที่จะทำใจไม่ให้เครียดหรือวิตกกังวล เพื่อให้ตัวเองรู้สึกดีขึ้นหลายคนกินตามใจปากมากขึ้น กินจุบจิบ หรือกินเพื่อปลอบใจตัวเองแม้ไม่ได้รู้สึกหิว ในขณะที่บางคนก็เครียดจนไม่อยากอาหารและกินน้อยลง ซึ่งหากเผลอติดกับดักของพฤติกรรมการกินที่มากหรือน้อยเกินไปอย่างต่อเนื่องแล้ว ก็อาจทำให้ต้องเผชิญกับ Eating Disorder หรือโรคการกินผิดปกติโดยไม่รู้ตัว
รูปแบบการใช้ชีวิตที่เปลี่ยนแปลงไปอย่างสิ้นเชิง ความโดดเดี่ยวจากการต้องแยกตัวจากสังคม และรายได้ที่ลดลงในช่วงการแพร่ระบาด ทั้งหมดนี้เป็นปัจจัยสำคัญที่ส่งผลให้เกิดความเครียดสูง เมื่อไม่รู้จะจัดการอย่างไร หลายคนจึงเลือกเยียวยาตัวเองด้วยการกิน
บางคนกินเพื่อคลายความเครียดและความหดหู่ ในขณะที่บางคนก็หันไปจำกัดการกินอาหารให้น้อยลงเพราะต้องการให้รู้สึกเหมือนว่ายังสามารถควบคุมบางสิ่งบางอย่างได้ เพราะความวิตกกังวลและความเศร้านั้นจะทำให้รู้สึกเหมือนขาดสามารถในการควบคุมชีวิตตนเอง
นี่อาจเป็นเหตุผลว่าทำไมข้อมูลการศึกษาในประเทศสหรัฐอเมริกาจึงพบผู้ป่วยในกลุ่มโรคความผิดปกติทางการกินพุ่งสูงในช่วงการแพร่ระบาดของโรคโควิด-19 โดยเฉพาะในหมู่วัยรุ่นอายุ 12-18 ปี ที่เป็นโรคนี้เพิ่มขึ้นถึง 25%
แม้จะชื่อว่าโรค Eating Disorder แต่ก็มีความสัมพันธ์กับอารมณ์ความคิดของผู้ป่วยอย่างมาก และอาจส่งผลอย่างรุนแรงต่อทั้งร่างกาย จิตใจ การใช้ชีวิตในสังคม ทำให้กลุ่มโรคนี้ถูกจัดเป็นหนึ่งในปัญหาทางสุขภาพจิตที่มีความซับซ้อน ได้รับการบรรจุอยู่ในคู่มือการวินิจฉัยและสถิติสำหรับความผิดปกติทางจิต (DSM-5) ซึ่งจะใช้เป็นแนวทางสำหรับแพทย์และนักจิตแพทย์ทั่วโลกเพื่อวินิจฉัยโรคทางจิตเวช
โรคในกลุ่ม Eating Disorder ที่หลายคนน่าจะคุ้นเคยที่สุดและอาจเคยได้ยินในชื่อ ‘โรคคลั่งผอม’ ผู้ป่วยโรคนี้จะมองว่าตัวเองน้ำหนักมากเกินไป แม้ว่าจะลดน้ำหนักลงจนต่ำกว่าเกณฑ์มาตรฐานและอยู่ในระดับที่อาจเป็นอันตรายต่อสุขภาพร่างกายแล้วก็ตาม
อาการที่พบได้บ่อยในผู้ป่วย Anorexia
พฤติกรรมเหล่านี้ของผู้ป่วย Anorexia เมื่อนานไปอาจส่งผลต่อกระดูกทำให้มวลกระดูกลดลง เกิดภาวะมีบุตรยาก เส้นผมและเล็บแห้ง เปราะ แตกหักง่าย ในกรณีรุนแรงอาจทำให้มีอาการหัวใจเต้นผิดจังหวะ เกิดภาวะเสียสมดุลของเกลือแร่ในร่างกาย การทำงานของอวัยวะต่างๆ ล้มเหลว และอาจทำให้เสียชีวิตได้
‘โรคล้วงคอ’ เป็นอีกหนึ่งโรคในกลุ่ม Eating Disorder ที่พบได้บ่อย ผู้ที่เป็นโรคนี้มักจะมีพฤติกรรมกินมากผิดปกติเป็นช่วงๆ อย่างต่อเนื่อง โดยที่ไม่สามารถควบคุมตัวเองให้หยุดกินได้ และแม้ร่างกายจะบอกว่าอิ่มแล้ว จิตใจก็จะสั่งให้กินต่อไปกินจนกระทั่งรู้สึกอึดอัดหรือปวดแน่นท้อง
พฤติกรรมกินมากผิดปกติมักจะเกิดขึ้นกับอาหารที่ผู้ป่วยพยายามหลีกเลี่ยงมาตลอด แต่ก็อาจเกิดขึ้นกับอาหารชนิดอื่นๆ ได้เช่นกัน
หลังจากช่วงการกินมาก ผู้ป่วยจะพยายามกำจัดอาหารที่กินเข้าไปเพื่อลดแคลอรี่และทำให้ความรู้สึกปวดแน่นท้องลดลง โดยมักจะใช้วิธีอาเจียนออกมา อดอาหาร ใช้ยาถ่ายมากเกินไป หรือออกกำลังกายแบบมากเกินพอดี
อาการของโรคนี้จะคล้ายกับโรค Anorexia ตรงที่ผู้ป่วยทั้ง 2 โรคต่างกลัวว่าน้ำหนักจะเพิ่มขึ้น แต่ผู้ป่วย Anorexia จะพยายามลดน้ำหนักด้วยการจำกัดอาหาร ส่วนผู้ป่วย Bulimia นั้นจะกินเยอะและพยายามกำจัดอาหารที่กินเข้าไป ทำให้มักจะคงน้ำหนักในเกณฑ์ปกติหรือใกล้เคียงปกติได้มากกว่า
ผู้ที่เป็นโรค Bulimia มักต้องเผชิญกับอาการข้างเคียงต่างๆ ที่ตามมาจากการพยายามกำจัดอาหาร เช่น คออักเสบ เจ็บคอ ต่อมน้ำลายบวม ฟันผุ ฟันตกกระ กรดไหลย้อน ระคายเคืองในลำไส้ ภาวะขาดน้ำ และระดับฮอร์โมนไม่สมดุล รวมถึงภาวะเกลือแร่ไม่สมดุลที่อาจนำไปสู่โรคหลอดเลือดสมองและภาวะหัวใจวาย
‘โรคกินไม่หยุด’ คล้ายกับโรค Bulimia ตรงที่จะส่งผลให้กินมากผิดปกติ แต่จะกินอย่างรวดเร็วและไม่สามารถควบคุมตัวเองได้ กินแม้ไม่รู้สึกหิว และกินจนรู้สึกอิ่มแบบไม่สบายท้อง
ผู้ป่วยโรคนี้ไม่มีพฤติกรรมการจำกัดปริมาณอาหารหรือกำจัดอาหารที่กินเข้าไปอย่างการล้วงคอ อดอาหาร หรือออกกำลังกายมากเกินไป แต่จะรู้สึกละอาย เกลียดตัวเอง หรือรู้สึกผิดเมื่อคิดถึงพฤติกรรมกินมากผิดปกติของตัวเอง และมักจะกินอาหารเมื่ออยู่คนเดียวหรือปลอดจากสายตาผู้อื่น
พฤติกรรมการกินมากผิดปกติมักทำให้ผู้ป่วยโรคนี้มีปัญหาน้ำหนักเกินหรือโรคอ้วน และมีความเสี่ยงเกิดภาวะแทรกซ้อนอื่นๆ ตามมา เช่น โรคหัวใจ โรคหลอดเลือดในสมอง และโรคเบาหวานชนิดที่ 2
สาเหตุของ Eatting disorder นั้นไม่เป็นที่ทราบแน่ชัด แต่คาดว่าปัจจัยต่อไปนี้อาจทำให้เกิดอาการของโรคนี้ขึ้น
บรรดาคนรอบข้าง ไม่ว่าจะเป็นเพื่อน ครอบครัว หรือคุณครู ล้วนเป็นส่วนสำคัญที่จะช่วยสร้างพลังบวกและปกป้องคนที่คุณรักจากความเสี่ยงต่อ Eating Disorder
สิ่งที่ควรทำคือการเน้นย้ำว่าร่างกายที่ผอมเพรียวไม่ได้ดูดีกว่า หมั่นชื่นชมว่าพวกเขาดูดีในแบบของตัวเองเพื่อสร้างความมั่นใจ และแสดงให้เห็นว่าคุณไม่ได้คาดหวังความสมบูรณ์แบบของรูปร่างที่ไม่มีอยู่จริง
สำหรับผู้ปกครองควรเป็นแบบอย่างที่ดีในการกินและการลดน้ำหนักแบบสุขภาพดี สอนให้เด็กรู้เท่าทันอิทธิพลจากสื่อต่างๆ ระวังการถูกล้อเลียนหรือกลั่นแกล้งจากเพื่อนที่โรงเรียนเรื่องน้ำหนักและรูปร่าง และต้องชี้ให้เห็นว่าพฤติกรรมการกินที่ผิดปกติไม่ใช่ไลฟ์สไตล์ที่เลียนแบบได้ แต่เป็นโรคที่มีอันตรายต่อสุขภาพ
หากสังเกตพฤติกรรมที่อาจเป็นสัญญาณของคนรอบข้าง เช่น น้ำหนักลดลงมาก บ่นว่าอ้วนตลอดเวลา ไม่กินอาหาร กินอาหารปริมาณมากอย่างรวดเร็ว หรือออกกำลังกายแบบหักโหมเกินพอดี ควรบอกกับพวกเขาว่าคุณรู้สึกเป็นห่วงและกังวล และพร้อมให้ความช่วยเหลือในการพาไปตรวจรักษากับแพทย์
ปัญหาหรือภาวะจำเป็นในช่วงโควิด-19 ทำให้หลายคนมีความเสี่ยงสูงที่จะเผชิญกับความเครียด วิตกกังวล ซึมเศร้า ซึ่งภาวะสุขภาพจิตเหล่านี้เป็นปัจจัยที่อาจนำไปสู่โรคการกินผิดปกติ ดังนั้นเมื่อไหร่ที่รู้สึกว่าไม่สามารถรับมืออารมณ์และความรู้สึกที่เกิดขึ้นด้วยตนเองได้ ทางที่ดีที่สุดก็คือการขอความช่วยเหลือจากจิตแพทย์หรือนักจิตวิทยา
ในช่วงที่ออกไปไหนมาไหนไม่สะดวกแบบนี้ ยิ่งทำให้หลายคนที่มีความเสี่ยงทางสุขภาพต่างๆ เข้าถึงการวินิจฉัยโรคและการรักษาตามที่ควรเป็นน้อยลง พรีโมแคร์ เมดิคอล คลินิก มีบริการปรึกษาทางไกลหรือ Telemedicine ที่เป็นหนึ่งทางเลือกที่ได้รับการพิสูจน์ในหลายประเทศแล้วว่ามีประสิทธิภาพและตอบโจทย์ยุคดิจิทัล สามารถคลิกดูบริการที่นี่ หรือสอบถามเพิ่มเติมได้เลยที่ LINE @primoCare
Doing Business with Compassion
for the Development of Civilisation in Harmony with Nature.
Part of B.Grimm Group | bgrimmgroup.com
ให้พรีโมเเคร์ เมดิคอล ดูเเลทุกองค์ประกอบสุขภาพของคุณ ทั้งด้านรักษา ป้องกัน เเละส่งเสริมสุขภาพ เพื่อให้คุณมีสุขภาพเเข็งเเรงเเบบยั่งยืน
1 ซอยกรุงเทพกรีฑา 4 (บี.กริม) แขวงหัวหมาก เขตบางกะปิ กรุงเทพมหานคร 10240 ประเทศไทย
โทร: +66 2038 5595
แฟกซ์: +66 2038 5542
LINE ID: @primocare
อีเมล: [email protected]
©2022 PrimoCare Medical Limited. All rights reserved.