Categories
Uncategorized

Primary Prevention of High Cholesterol (Hyperlipidemia)

    /    บทความ    /    Primary Prevention of High Cholesterol (Hyperlipidemia)

Primary Prevention of High Cholesterol (Hyperlipidemia)​

Primary Prevention of High Cholesterol (Hyperlipidemia)​

Hyperlipidemia is a serious condition that can have serious consequences. This is a major risk factor for cardiovascular disease, which can result in death or disability. However, you can simply prevent the disease by changing your dietary habits and exercise consistently.

Hyperlipidemia

Triglycerides and cholesterol are the two main forms of fats found in the blood, both of which are crucial to the body’s functioning. The fat will build up on the blood arteries, constricting them. Restricted blood circulation is a risk factor for cardiovascular illness, arterial thrombosis, paralysis and premature mortality. Hyperlipidemia can be caused by a variety of factors, including genetic abnormalities, eating unhealthy foods, and consuming significant amounts of alcohol.

Cholesterol

cholesterol is a sort of lipid compound that the body creates by synthesizing it in the liver and digesting. Since cholesterol is a form of fat that does not disintegrate on its own in the bloodstream, ‘Lipoprotein’ is a combination of fat and protein that requires integration with proteins in order to be in the bloodstream. Cholesterol can be divided into two types:

  1. HDL (High Density Lipoprotein) is a good fat that helps to trap fat and cholesterol in the blood that would harm the liver, therefore lowering the risk of cardiovascular disease. Exercise will help the body produce this sort of fat, however men’s HDL cholesterol levels should be greater than 40 mg/dL, while women’s should be greater than 50 mg/dL.
  2. LDL (Low Density Lipoprotein) is a bad fat that sticks to the arteries, causing them to thicken and narrow. As a result, healthy blood pushed out of the heart is unable to reach various organs, resulting in organ ischemia and sickness. The LDL cholesterol level in the blood should not exceed 130 mg/dL for those who do not have any underlying medical conditions.
Triglycerides

is a form of blood fat produced by fat synthesized in the liver or fat obtained from foods containing fat as an element, such as pork belly, oil, butter. Fat will be turned to triglycerides if the body obtains more fat than it requires. Triglyceride levels in the blood should not exceed 150 mg/dL.

 

Prevention of hyperlipidemia

Choosing a balanced diet and changing your eating habits can help lower cholesterol levels. If you can follow the steps below, your chances of getting hyperlipidemia will be reduced.

  • Have a lipid panel cholesterol test once a year. 
  • Drink the recommended amount of water; at least 6-8 glasses of water per day. 
  • Reduce food portions. 
  • Choosing healthy fats.
  • Reduce saturated fats.
  • Lower cholesterol with diet.
  • Avoid foods that contain trans fats.
  • Increase your consumption of fiber-rich fruits and vegetables at every meal.
  • Exercising regularly for 20-30 minutes each time, at least 5 times a week. 
If you would like to make an appointment for an annual health check. At PrimoCare Medical Clinic, we are ready to look after your overall health. You can ask questions or arrange an appointment in advance here.

Reference

บทความที่เกี่ยวข้อง

Categories
Uncategorized

คลินิก VS โรงพยาบาล เลือกใช้บริการแบบไหนตอบโจทย์ที่สุด?

    /    บทความ    /    คลินิก VS โรงพยาบาล เลือกใช้บริการแบบไหนตอบโจทย์ที่สุด?

คลินิก กับ โรงพยาบาล ต่างกันอย่างไร อาการแบบไหนควรไปคลินิก อาการแบบไหนควรไปโรงพยาบาล?​ คลินิกและโรงพยาบาล​ทำงานร่วมกันอย่างไร?

เมื่อต้องเลือกรับบริการสุขภาพระหว่างคลินิกกับโรงพยาบาล เราจะเลือกอะไร? บางคนเลือกไปโรงพยาบาลเพราะคิดว่าดูแลรักษาได้ครอบคลุมกว่า บางคนเลือกคลินิกเพราะไม่อยากต้องไปนั่งรอคิวนานๆ ที่โรงพยาบาล แต่ความจริงแล้วเราควรพิจารณาตามอาการและความจำเป็นทางสุขภาพเป็นอย่างแรก มาดูกันให้ชัดๆ ว่าเมื่อไหร่ที่เราควรตัดสินใจเข้าคลินิก และเมื่อไหร่ที่ควรไปโรงพยาบาล

ทำความรู้จัก “คลินิก” 

คลินิก หมายถึง สถานพยาบาลที่เน้นบริการผู้ป่วยนอก โดยส่วนมากมักเป็นคลินิกโดยแพทย์ทั่วไปที่สามารถให้การรักษาเบื้องต้นในทุกๆ โรค แต่ก็มีคลินิกจำนวนไม่น้อยที่เป็นคลินิกที่ให้บริการเฉพาะทาง เช่น คลินิกผิวหนัง คลินิกโรคหู คอ จมูก คลินิกกายภาพ คลินิกกระดูก และยังมีคลินิกที่จัดตั้งขึ้นตามวัตถุประสงค์เฉพาะ เช่น คลินิกสุขภาพทางเพศชายและหญิง คลินิกวางแผนครอบครัว คลินิกบำบัดยาเสพติด คลินิกสุขภาพจิต เป็นต้น

ข้อแตกต่างระหว่างคลินิก กับ โรงพยาบาล

ในบทความนี้จะเน้นเปรียบเทียบระหว่างคลินิกโดยหมอเวชศาสตร์ครอบครัวและหมอเวชปฏิบัติทั่วไป กับโรงพยาบาลในภาพรวมกว้างๆ เพราะทั้งคลินิกและโรงพยาบาลต่างก็มีทั้งประเภทที่ให้การรักษาทั่วไปและรักษาเฉพาะทาง ซึ่งอาจทำให้เกิดความสับสนในการเปรียบเทียบ

  • ประเภทของผู้ป่วย คลินิกเน้นให้บริการผู้ป่วยนอกที่สามารถกลับบ้านได้เลยหลังรับการตรวจรักษา ในขณะที่โรงพยาบาลจะเน้นบริการผู้ป่วยในที่ต้องนอนค้างเพื่อดูอาการหรือรักษาตัวในระยะยาว 
  • ประเภทของการรักษา บริการสุขภาพโดยคลินิกมุ่งไปที่การดูแลอย่างรอบด้าน ทั้งการให้คำแนะนำในการส่งเสริมสุขภาพที่แข็งแรง การตรวจเช็กสุขภาพอย่างสม่ำเสมอเพื่อลดความเสี่ยง และให้การรักษาชั้นต้นสำหรับทุกๆ อาการที่ไม่ใช่ภาวะฉุกเฉิน ส่วนในโรงพยาบาลมักเป็นการตรวจรักษาโรคที่ต้องอาศัยความชำนาญจากแพทย์เฉพาะทาง ต้องมีการผ่าตัดหรือใช้เครื่องมือเฉพาะ หรือในกรณีที่มีอาการรุนแรงหรือภาวะฉุกเฉิน
  • ขนาด คลินิกเป็นสถานพยาบาลขนาดเล็กและมีบุคลากรน้อยกว่าในโรงพยาบาลที่มีขนาดใหญ่ และมีผู้เชี่ยวชาญทางสุขภาพหลากหลาย 
  • ราคา การตรวจรักษาในโรงพยาบาลโดยแพทย์เฉพาะทางและมีบุคลากรทางการแพทย์ในขั้นตอนต่างๆ มากกว่า มักมีค่าใช้จ่ายที่สูงกว่าการไปคลินิก

อาการแบบไหนควรไปคลินิก?

  • การตรวจป้องกันและประเมินความเสี่ยง ได้แก่ การตรวจสุขภาพประจำปี การรับวัคซีน และการตรวจคัดกรองโรคเรื้อรังอย่างเบาหวาน หัวใจ หลอดเลือดหัวใจ และมะเร็งชนิดต่างๆ
  • การตรวจดูแลที่ต้องทำอย่างต่อเนื่อง เช่น การติดตามรักษาอาการโรคประจำตัว การทำกายภาพบำบัด การทำจิตบำบัด ซึ่งหมอที่ตรวจรักษามักเป็นหมอคนเดิมที่เข้าใจและคุ้นเคยกับผู้ป่วยเป็นอย่างดี
  • การรักษาอาการที่ไม่เร่งด่วนฉุกเฉิน อาการทั่วๆ ไปที่สามารถรักษาได้โดยไม่ต้องถึงมือหมอเฉพาะทาง เช่น ไอ เจ็บคอ คัดจมูก ปวดหู เป็นต้น
  • อุบัติเหตุที่ไม่รุนแรง เช่น ตะคริว แผลถูกของมีคมบาดขนาดเล็ก แผลน้ำร้อนลวก โดยอาการจากอุบัติเหตุที่ไม่รุนแรงเหล่านี้ไม่นับเป็นกรณีฉุกเฉิน และมักไม่มีความจำเป็นต้องไปห้องฉุกเฉินในโรงพยาบาล

อาการแบบไหนควรไปโรงพยาบาล?

  • การตรวจรักษาที่ต้องทำโดยแพทย์เฉพาะทาง หรือมีอาการเจ็บป่วยที่รุนแรง
  • เมื่อจำเป็นต้องได้รับการผ่าตัด ไม่ว่าจะเป็นการผ่าตัดที่ฉุกเฉินหรือไม่ฉุกเฉิน มักต้องทำในโรงพยาบาลเนื่องจากมีอุปกรณ์และเครื่องมือที่ครบครันมากกว่าคลินิก 
  • อาการหรือภาวะฉุกเฉินที่ต้องได้รับการรักษาอย่างเร่งด่วน เช่น ภาวะหัวใจวาย หรือโรคหลอดเลือดในสมอง 
  • อุบัติเหตุที่ก่อให้เกิดบาดแผลรุนแรง เช่น อุบัติเหตุทางรถยนต์ แผลไฟไหม้น้ำร้อนลวกรุนแรง ศีรษะได้รับการกระทบกระเทือนอย่างรุนแรง แผลถูกบาดโดยของมีคมที่ลึกหรือมีขนาดใหญ่
  • ภาวะฉุกเฉินทางสุขภาพจิต เช่น ผู้ป่วยมีพฤติกรรมทำร้ายตนเองหรือคนรอบข้าง ควรรีบนำตัวส่งโรงพยาบาลทันที เพื่อรับการประเมินและรักษาเพื่อป้องกันอันตรายต่อตัวผู้ป่วยเองและคนรอบข้าง

คลินิกและโรงพยาบาล ทำงานร่วมกันอย่างไร?

คลินิกนั้นทำงานโดยประสานงานกับโรงพยาบาล ในกรณีที่แพทย์ประจำคลินิกประเมินว่าต้องส่งต่อให้แพทย์ผู้เชี่ยวชาญเฉพาะด้านหรือมีการรักษาที่ต้องนอนค้าง จะมีการประสานงานส่งตัวผู้ป่วยไปยังโรงพยาบาลที่มีแพทย์เฉพาะทางทันที ดังนั้น วางใจได้ว่าคุณจะได้รับการรักษาที่ถูกต้องตามขั้นตอนที่ควรไม่ว่าจะเลือกไปคลินิกหรือโรงพยาบาล

อย่างไรก็ตาม เรามักติดภาพจำว่าโรงพยาบาลมีบริการกว้างขวางครอบคลุม มีแพทย์ผู้เชี่ยวชาญ และมีคุณภาพดีกว่า ซึ่งแท้จริงแล้วการเลือกไปโรงพยาบาลเมื่อมีอาการที่ไม่รุนแรงหรือไม่ฉุกเฉินมีแต่จะทำให้ต้องรอคิวนานโดยไม่จำเป็น 

โดยเฉพาะอย่างยิ่งโรงพยาบาลรัฐที่ปัจจุบันมีคนไข้ล้น เมื่อพบหมอก็ได้คุยสั้นๆ ยังไม่ทันได้ถามให้ละเอียด เพราะคนไข้ที่เยอะเกินไปจนหมอต้องทำงานแข่งกับเวลา ส่วนโรงพยาบาลเอกชนก็มีค่าใช้จ่ายที่สูงเนื่องจากมีเพียงแพทย์เฉพาะทาง และมีต้นทุนการบริหารจัดการที่สูง อีกทั้งยังเข้าถึงได้ยากกว่าการไปคลินิก

นอกจากนี้การไปโรงพยาบาลด้วยอาการเจ็บป่วยเล็กน้อยยังผิดจุดประสงค์ เพราะหมอเฉพาะทางนั้นมีหน้าที่รักษาผู้ป่วยที่หมอทั่วไปส่งต่อมาให้ หรือผู้ป่วยที่มีอาการรุนแรงเท่านั้น 

ถ้าเลือกให้เหมาะสมตามอาการ ไม่ว่าคลินิกหรือโรงพยาบาล คุณก็จะได้รับบริการที่น่าพึงพอใจและคุ้มค่ากับเงินและเวลาที่เสียไปอย่างแน่นอน 

พรีโมแคร์ เมดิคอล คลินิก พร้อมให้บริการด้วยหัวใจ ปรึกษาเรื่องการดูแลสุขภาพกายและใจ ตรวจสุขภาพ ฉีดวัคซีนป้องกันโรค หรือรักษาอาการเจ็บป่วยทั่วไปกับคุณหมอของเรา คลิกดูบริการได้เลยที่นี่

Reference

บทความที่เกี่ยวข้อง

Categories
Uncategorized

แนวทางฉีดวัคซีนโควิด-19 ในผู้สูงอายุ ฉีดได้เลย หรือต้องรอ?

    /    บทความ    /    แนวทางฉีดวัคซีนโควิด-19 ในผู้สูงอายุ ฉีดได้เลย หรือต้องรอ?

ผู้สูงอายุ-ผู้มีโรคประจำตัว ฉีดวัคซีนโควิด-19 ได้เลยหรือไม่? เช็กกลุ่มเสี่ยงที่ควรและไม่ควรฉีด พร้อมคำแนะนำก่อนหลังฉีดวัคซีน

เป็นที่ทราบกันว่าผู้สูงอายุจัดเป็นกลุ่มที่เสี่ยงเกิดอาการรุนแรงและเสียชีวิตจากโรคโควิด-19 โดยจากสถิติการเสียชีวิตในสหรัฐอเมริกา พบว่า 8 ใน 10 เป็นผู้ที่มีอายุตั้งแต่ 65 ขึ้นไป และยิ่งอายุมากเท่าไรก็ยิ่งมีความเสี่ยงสูงเท่านั้น ซึ่งคาดว่าสาเหตุมาจากภูมิคุ้มกันของร่างกายที่ลดลงสวนทางกับอายุที่มากขึ้น ยิ่งไปกว่านั้นผู้สูงอายุยังเป็นกลุ่มที่มักจะมีโรคเรื้อรังหรือโรคประจำตัวที่ถือเป็นอีกหนึ่งปัจจัยเสี่ยงด้วย

นอกจากการปฏิบัติตัวเพื่อป้องกันผู้สูงอายุจากเชื้อโควิด-19 ที่ตัวผู้สูงอายุเองและคนรอบข้างพอจะทำได้ในเบื้องต้นแล้ว การฉีดวัคซีนคือหัวใจสำคัญที่จะขาดไม่ได้ แต่ก็ยังเป็นที่สับสนกันมากว่าจะเป็นอันตรายหรือไม่ ควรฉีดหรือไม่ควรฉีด วันนี้คุณหมอพรีโมแคร์เลยมีแนวทางการปฏิบัติก่อนและหลังฉีดวัคซีนโควิด-19 สำหรับผู้สูงอายุมาฝากกัน

ผู้สูงอายุฉีดวัคซีนโควิด-19 ได้หรือไม่? ให้ดูตามกลุ่มเสี่ยง

สมาคมพฤฒาวิทยาและเวชศาสตร์ผู้สูงอายุไทยได้ให้แนวทางการฉีดวัคซีนโควิด-19 ในผู้สูงอายุโดยแบ่งเป็น 3 กลุ่มดังต่อไปนี้

1.  ผู้สูงอายุที่มีโรคประจำตัว/โรคเรื้อรังที่มีอาการคงที่ ควรได้รับการฉีดวัคซีน เนื่องจากมีการศึกษาพบว่าสามารถช่วยป้องกันการติดเชื้อไวรัสโควิด-19 และช่วยลดความรุนแรงของโรคได้มาก มีโอกาสเกิดผลข้างเคียงจากการฉีดน้อย ไม่ต่างจากวัยอื่น เช่น อาการปวดบริเวณที่ฉีด อ่อนเพลีย มีไข้ต่ำ ซึ่งมักจะหายไปเองภายใน 1-2 วัน นอกจากนี้วัคซีนแอสตราเซเนกาที่ฉีดให้ผู้สูงอายุในไทยขณะนี้ก็มีโอกาสเกิดผลข้างเคียงน้อยกว่าการฉีดในคนวัยหนุ่มสาว 

 

กลุ่มผู้ป่วยที่ควรฉีดวัคซีนหากมีอาการของโรคคงที่ ได้แก่

  • ความดันโลหิตสูง เบาหวาน
  • โรคหัวใจและหลอดเลือด
  • โรคในทางเดินอาหารและตับ
  • โรคติดเชื้อเอชไอวี (HIV)
  • โรคข้ออักเสบ แพ้ภูมิตัวเอง
  • สะเก็ดเงิน
  • ภาวะสมองเสื่อม
  • อัมพฤกษ์ อัมพาต
  • โรคไตเรื้อรัง
  • โรคหิด โรคปอดอุดกั้นเรื้อรัง
  • โรคไขกระดูกฝ่อ โรคไขกระดูกทำงานผิดปกติ
  • มะเร็งเม็ดเลือด และโรคมะเร็งอื่นๆ
  • ผู้สูงอายุที่มีภาวะเปราะบาง คือมีความเสื่อมถอยหรืออ่อนแอทางร่างกาย จิตใจ และสังคม

2. ผู้สูงอายุที่มีโรคประจำตัว/โรคเรื้อรังที่ยังควบคุมอาการไม่ได้/อาการไม่คงที่/ได้รับยากดภูมิคุ้มกัน ควรปรึกษาแพทย์ก่อนฉีด เนื่องจากเป็นกลุ่มที่ต้องพิจารณาเป็นรายบุคคลตามโรคและอาการ

3. ผู้สูงอายุที่อยู่ในระยะท้ายของชีวิตและคาดว่าจะเสียชีวิตในไม่กี่เดือน ต้องพิจารณาว่าควรฉีดหรือไม่ฉีดตามกรณี เนื่องจากคำแนะนำการฉีดวัคซีนแอสตราเซเนกาในตอนนี้ต้องฉีด 2 ครั้งโดยเว้นระยะห่าง 10-12 สัปดาห์ หรืออย่างน้อยที่สุด 4 สัปดาห์ อีกทั้งยังไม่มีข้อมูลเกี่ยวกับประสิทธิภาพและผลข้างเคียงของการฉีดวัคซีนโควิด-19 ในกลุ่มนี้มากนัก

ข้อควรปฏิบัติก่อน-หลังฉีดวัคซีนโควิด-19 สำหรับผู้สูงอายุ

  • ก่อนฉีดควรแจ้งให้แพทย์ทราบหากมีโรคประจำตัว หรือเคยมีประวัติแพ้วัคซีนโควิด-19 หรือวัคซีนอื่นๆ อย่างรุนแรงมาก่อน
  • สามารถทำกิจวัตรต่างๆ ได้ตามปกติทั้งก่อนและหลังฉีด แต่ไม่ควรหักโหมทำงานหรือออกกำลังกายหนักเกินไป
  • หลีกเลี่ยงการพักผ่อนน้อยในช่วง 1-2 วันก่อนและหลังฉีดวัคซีน
  • กรณีที่ต้องรับวัคซีนอื่นๆ เช่น วัคซีนไข้หวัดใหญ่ ปอดอักเสบ งูสวัด แนะนำให้เว้นระยะห่างอย่างน้อย 2-4 สัปดาห์ก่อน-หลังฉีดวัคซีนโควิด-19 ส่วนวัคซีนที่มีความเร่งด่วน เช่น บาดทะยัก พิษสุนัขบ้า สามารถฉีดได้ทันทีในตำแหน่งที่ต่างกันโดยไม่ต้องเว้นระยะ หรือเว้นระยะห่างอย่างน้อย 1 สัปดาห์

การฉีดวัคซีนโควิด-19 จะช่วยสร้างภูมิคุ้มกัน ป้องกันผู้สูงอายุจากการติดเชื้อไวรัสโควิด-19 และช่วยลดความรุนแรงหากติดเชื้อ ในทางกลับกัน หากผู้สูงอายุมีภาวะที่ควบคุมอาการไม่ได้หรือไม่สามารถรับวัคซีนได้ด้วยเหตุผลใดก็ตาม สิ่งที่ควรทำก็คือการฉีดวัคซีนสร้างภูมิคุ้มกันให้กับคนในครอบครัวหรือบุคคลใกล้ชิด เพื่อป้องกันการแพร่เชื้อไปสู่ผู้สูงอายุและสร้างภูมิคุ้มกันหมู่ในระดับครอบครัว

พรีโมแคร์เป็นกำลังใจให้ทุกครอบครัวผ่านพ้นวิกฤตไปด้วยกัน มีปัญหาหรือข้อสงสัยเกี่ยวกับการรับวัคซีนโควิด-19 สามารถนัดหมายปรึกษาคุณหมอพรีโมแคร์ หรือดูบริการอื่นๆ ของเราได้ที่นี่ 

Reference

  • คำแนะนำเรื่องการฉีดวัคซีนป้องกันโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 สำหรับผู้สูงอายุ (ฉบับปรับปรุง) (http://www.thaigeron.or.th/)

  • แนวปฏิบัติการ ‘ฉีดวัคซีนโควิด 19’ ให้ผู้สูงอายุและผู้ป่วย
    https://www.bangkokbiznews.com/news/detail/941124 

บทความที่เกี่ยวข้อง

Categories
Uncategorized

5 ภัยสุขภาพช่วง Work from home ที่อาจถามหาโดยไม่รู้ตัว

    /    บทความ    /    5 ภัยสุขภาพช่วง Work from home ที่อาจถามหาโดยไม่รู้ตัว

รู้ทันภัยสุขภาพที่มากับ Work from home มีโรคอะไรบ้าง? และจะจัดการและแก้ไขอย่างไรให้ทำงานที่บ้านอย่างสุขภาพดี ไม่มีโรคกวนใจ

ในช่วงนี้หลายๆ คน โดยเฉพาะชาวมนุษย์ออฟฟิศ ต่างก็ Work from home กันมากขึ้นตามมาตรการยับยั้งการแพร่ระบาดและป้องกันการติดเชื้อโควิด-19 ซึ่งแม้การทำงานที่บ้านจะช่วยลดความเสี่ยงจากการติดเชื้อโควิด-19 แต่ก็อาจตามมาด้วยปัญหาสุขภาพอื่นๆ ได้เช่นกัน 

วันนี้ พรีโมแคร์ เมดิคอล คลินิก ชวนคุณมาทำความรู้จัก 6 ภัยสุขภาพที่อาจมาเยือนโดยไม่รู้ตัวในระหว่าง Work from home รวมถึงวิธีป้องกันและแก้ไขตั้งแต่เนิ่นๆ เพื่อให้กลับมามีสุขภาพเต็มร้อย และทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพเหมือนตอนอยู่ในออฟฟิศ

 

1. ออฟฟิศซินโดรม อาการปวดเมื่อยตามกล้ามเนื้อหรือบริเวณใดบริเวณหนึ่งของร่างกายที่รบกวนใจใครหลายๆ คน เช่น ปวดคอ บ่า ไหล่ สะบัก หลัง ข้อมือ นิ้วมือ บางครั้งมีอาการชาหรืออ่อนแรงตามแขน มือ นิ้ว และปวดหัว ปวดตา ตาพร่า ร่วมด้วย โดยสาเหตุมักเกิดจากท่าทางการนั่งทำงานที่ไม่ถูกต้อง และการนั่งทำงานติดต่อเป็นเวลานานโดยไม่ได้ลุกเคลื่อนไหวหรือยืดคลายกล้ามเนื้อนั่นเอง 

วิธีป้องกันอาการออฟฟิศซินโดรมแก้ได้ที่สาเหตุ โดยแนะนำให้ปรับท่าทางในการทำงานให้เหมาะสมและหมั่นเปลี่ยนอิริยาบถบ่อยๆ 

  • นั่งหลังตรง ไม่ห่อไหล่ ไม่ไขว่ห้าง และนั่งให้เต็มก้น
  • ให้หน้าจอคอมพิวเตอร์อยู่ในระยะห่าง 1 ช่วงแขน และอยู่ในระดับสายตาหรือต่ำกว่าเล็กน้อย 
  • วางแขนอยู่ในระดับเดียวกับแป้นพิมพ์ ทำมุมตั้งฉาก 90° กับไหล่ และแนบกับลำตัว
  • นั่งให้หัวเข่าอยู่ระดับเดียวกับสะโพกหรือต่ำกว่าเล็กน้อย และหาอะไรมารองเท้าหากเก้าอี้สูงเกินไป
  • ไม่ควรทำงานโดยวางแล็ปท็อปไว้บนตัก เพราะจะทำให้ต้องก้มมองจอตลอดเวลา หากจำเป็นจริงๆ ควรหาเบาะหรือกระเป๋ามาวางเสริมให้จออยู่สูงขึ้นจนคออยู่ในท่าที่สบาย
  • หากทำงานโดยใช้แล็ปท็อป แนะนำให้ใช้คีย์บอร์ดและเมาส์แยกต่างหาก เพื่อปรับระยะหน้าจอให้พอดีกับระดับสายตา หรือใช้จอคอมพิวเตอร์เสริมเพื่อให้ไหล่และแขนอยู่ในท่าธรรมชาติขณะพิมพ์งาน
  • หลีกเลี่ยงพฤติกรรมนั่งนาน โดยเฉพาะการนั่งทำงานบนโซฟาหรือบนเตียงที่มักทำให้สรีระร่างกายอยู่ในท่าที่ไม่ถูกต้อง 
  • เปลี่ยนอิริยาบถด้วยการบิดขี้เกียจบ่อยๆ หรือนั่งสลับยืนทำงานโดยวางคอมพิวเตอร์บนโต๊ะสูงหรือชั้นวางของ
  • หมั่นลุกขึ้นยืดเส้นยืดสายทุกๆ ชั่วโมง และทำท่ากายบริหารเพื่อช่วยคลายกล้ามเนื้อเป็นประจำ

2. ปัญหาตาแห้ง ตาล้า จอคอมพิวเตอร์นั้นจะปล่อยแสงสีฟ้า หรือ Blue light ออกมารบกวนการมองเห็นและทำให้ดวงตาต้องทำงานหนักยิ่งขึ้น นอกจากนี้การจ้องคอมพิวเตอร์เป็นเวลานานยังทำให้กล้ามเนื้อบริเวณดวงตาทำงานหนัก เป็นสาเหตุของอาการตาพร่า ตาล้า และอาจพลอยทำให้มีอาการปวดศีรษะไปด้วย 

อาการตาล้าเป็นปัญหาสุขภาพที่คนทำงานต้องเผชิญมากขึ้นเมื่อ Work from home เนื่องจากลักษณะการทำงานที่ทุกอย่างทำผ่านทางออนไลน์ ทั้งการประชุมและการสื่อสารกับเพื่อนร่วมงาน ไหนจะช่วงเวลาพักกลางวันที่หลายคนมักรับประทานอาหารไปพร้อมๆ กับจ้องหน้าจอคอมพิวเตอร์ จนแทบไม่มีเวลาได้พักสายตาอย่างแท้จริง

หากต้องการถนอมสายตา ลดการทำงานหนักของดวงตา สามารถทำได้ตามคำแนะนำต่อไปนี้

  • ปรับความสว่างของหน้าจอคอมพิวเตอร์ให้ไม่สว่างหรือมืดจนเกินไปและมีความสมดุลกับแสงภายในห้อง 
  • อาจหาแว่นตัดแสงสีฟ้ามาใส่หรือใช้ฟิล์มติดหน้าจอที่อาจช่วยให้รู้สึกสบายตาขึ้น 
  • คอยเตือนตัวเองให้พักสายตาจากหน้าจอโดยลุกขึ้นเดินยืดเส้นยืดสาย ไปเข้าห้องน้ำ หรือลุกไปดื่มน้ำบ่อยๆ 
  • หมั่นกระพริบตา และทำตามเทคนิคพักสายตา 20-20-20 ที่แพทย์แนะนำ โดยให้พักสายตาจากหน้าจอทุกๆ 20 นาที และมองไกลออกไปในระยะประมาณ 20 ฟุต หรือ 6 เมตร เป็นเวลาอย่างน้อย 20 วินาที 

3. โรคอ้วน การนั่งทำงานนานๆ โดยไม่ค่อยได้เคลื่อนไหวร่างกาย นอกจากจะทำให้มีอาการของออฟฟิศซินโดรม ยังอาจนำไปสู่ปัญหาโรคอ้วนหรือน้ำหนักที่เพิ่มขึ้นด้วย โดยเฉพาะในช่วงเวลาแห่งการ Work from home ที่แทบไม่มีเหตุให้ต้องเคลื่อนไหว ไม่ต้องลุกไปคุยกับเพื่อนร่วมงาน ไม่มีพักเบรก แถมหลายคนยังมีอาหารและขนมใกล้มือพร้อมหยิบกินเมื่อไรก็ได้ 

ในการควบคุมน้ำหนักไม่ให้เพิ่มขึ้นจนเกินมาตรฐานหรือเสี่ยงเป็นโรคอ้วน เราควรลดปัจจัยที่กระตุ้นให้อยากกินอาหารที่อ้วนง่าย เช่น พยายามหาวิธีผ่อนคลายในแต่ละวันไม่ให้เกิดความเครียดมากเกินไป เพราะยิ่งเครียดก็ยิ่งทำให้รู้สึกอยากกินอาหารที่มีไขมันและมีน้ำตาลสูง รวมทั้งเก็บขนมขบเคี้ยวต่างๆ ในที่ลับสายตา หันมาตุนผักผลไม้ ของกินเล่นที่มีแคลอรี่ต่ำแทน และวางไว้ในที่ที่เห็นชัดเจน รวมทั้งไม่ลืมขยับร่างกายและออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอด้วย

 

4. ภาวะเครียด วิตกกังวล เมื่อต้องเก็บตัวอยู่แต่ในบ้านทุกวัน ไม่สามารถออกไปเที่ยวพักผ่อนได้ตามปกติ ความกลัวที่จะติดเชื้อ ประกอบกับความเครียดที่เกิดจากการ Work from home เช่น อุปกรณ์และสภาพแวดล้อมไม่เอื้ออำนวย ลักษณะการทำงานที่ไม่มีเส้นแบ่งเวลาทำงานและเวลาพักผ่อนอย่างชัดเจน จึงไม่ใช่เรื่องง่ายเลยที่ก้าวผ่านไปได้ ซึ่งความเครียดและความวิตกกังวลที่สะสมขึ้นทุกวันนี้อาจนำไปสู่ปัญหาการนอนไม่หลับ และโรคซึมเศร้าได้

ทันทีที่เริ่มรู้ตัวว่าเครียดหรือวิตกกังวล แนะนำให้ลองวิธีง่ายๆ อย่างการหายใจเข้า-ออกลึกๆ ช้าๆ เพื่อผ่อนคลายร่างกายจากความเครียดและปรับระบบการทำงานต่างๆ ของร่างกายให้กลับสู่ภาวะปกติ และควรฝึกทำทุกวันจนเคยชิน 

พยายามไม่วิตกกับเรื่องในอนาคตที่ยังมาไม่ถึงจนเกินไป ให้คิดเสียว่าเป็นเรื่องที่ควบคุมไม่ได้และอยู่กับปัจจุบันเข้าไว้ ที่สำคัญควรจัดสรรเวลาทำงานอย่าให้กินเวลาพักผ่อน เพื่อป้องกันความเครียดและความรู้สึกเหนื่อยล้าสะสม และหากิจกรรมที่ช่วยให้รู้สึกผ่อนคลายหรือหัวเราะได้ในแต่ละวัน

 

5. Burnout Syndrome การทำงานที่บ้านส่งผลให้หลายคนใช้เวลาในการทำงานยาวนานขึ้น ด้วยสิ่งเร้ามากมายที่ทำให้ว่อกแว่กเสียสมาธิง่าย ทำให้ทำงานเสร็จช้า ไหนจะเจ้านายที่คิดไปเองว่าการเพิ่มเวลางานหรือสั่งงานตอนไหนก็ได้เพราะลูกน้องไม่ต้องเสียเวลาเดินทางไปกลับที่ทำงานและบ้านนั้นเป็นเรื่องที่ยอมรับได้ เมื่อเผชิญกับความเหนื่อยล้าและความเครียดจากการทำงานเหล่านี้นานเข้าจึงทำให้เกิดอาการหมดเรี่ยวแรงและกำลังใจในการทำงานอย่างภาวะหมดไฟขึ้น

การรับมือกับภาวะ Burnout Syndrome นั้นก็คล้ายๆ กับภาวะเครียดและวิตกกังวล โดยแนะนำให้ลองปรับเวลาการทำงานให้เป็นเวลาทุกวัน ไม่หักโหมเกินไป และมีเวลาให้ตัวเองได้พักผ่อนอย่างเพียงพอ งานไหนที่เกินขอบเขตความรับผิดชอบมากไปก็ควรพูดคุยกับหัวหน้าให้ชัดเจน หากวันไหนรู้สึกเหนื่อยล้าเกินไปก็ควรลาพักผ่อนเพื่อผ่อนคลายและใช้เวลากับคนรอบข้างบ้าง

าจัดระบบระเบียบการทำงานได้ดี การ Work from home ก็มีประโยชน์ได้เหมือนกัน โดยจากผลสำรวจพบว่าคนทำงานบางคนก็มีสุขภาพความเป็นอยู่ที่ดีขึ้นในช่วงเวลานี้ เนื่องจากประหยัดเงินและเวลาในการเดินทาง ทั้งยังมีเวลาทำสิ่งต่างๆ มากขึ้น เช่น ได้กินอาหารที่มีประโยชน์ กินตรงเวลา และกินครบทุกมื้อ ได้ใช้เวลาอยู่กับลูกๆ และครอบครัว นอกจากนี้บางคนก็รู้สึกว่าทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพยิ่งขึ้น

ชาว Work from home คนไหนที่เริ่มรู้สึกถึงปัญหาสุขภาพกวนใจ พรีโมแคร์ เมดิคอล มีทีมแพทย์ พยาบาล ไปจนถึงนักกายภายภาพบำบัด และนักจิตวิทยา สแตนด์บายพร้อมดูแลคุณเสมอ คลิกดูบริการเพิ่มเติมได้ที่นี่เลย

บทความที่เกี่ยวข้อง

Categories
Uncategorized

จิตแพทย์ VS นักจิตวิทยา เหมือนหรือต่างกันอย่างไร?

    /    บทความ    /    จิตแพทย์ VS นักจิตวิทยา เหมือนหรือต่างกันอย่างไร?

นักจิตวิทยา กับ จิตแพทย์ ทำงานต่างกันอย่างไร? หาคำตอบว่าใครที่เหมาะจะช่วยแนะนำวิธีจัดการกับปัญหาทางจิตใจและอารมณ์ของคุณที่สุด

เมื่อมีเรื่องให้เครียดหรือกังวลใจ ไม่ว่าจะเป็นปัญหาในครอบครัว ความเครียดจากการทำงาน หรือความสัมพันธ์กับเพื่อนร่วมงานและคนรอบข้าง เรามักมองหาคนใกล้ตัวที่จะคอยรับฟังเพื่อแบ่งเบาความทุกข์ลงไปบ้าง แต่บางครั้งความรู้สึกที่เกิดขึ้นก็ท่วมท้นเกินกว่าจะจัดการด้วยตัวเองได้ หรือมีเหตุผลบางอย่างที่ทำให้ไม่สบายใจที่จะระบายกับคนใกล้ตัว การพูดคุยกับผู้เชี่ยวชาญอย่างจิตแพทย์หรือนักจิตวิทยาจึงดูจะเป็นทางเลือกที่ดีที่สุด

ผู้เชี่ยวชาญทางด้านสุขภาพจิตนั้นมีหลากหลายสาขาและมีชื่อเรียกที่คล้ายกันจนทำให้เกิดความสับสนได้ง่าย ไม่ว่าจะเป็นจิตแพทย์ นักจิตวิทยา นักจิตวิทยาบำบัด หรือนักจิตวิทยาการปรึกษา โดยเฉพาะผู้เชี่ยวชาญสาขาหลักอย่างจิตแพทย์และนักจิตวิทยาที่ในความเข้าใจของคนทั่วไปนั้นดูจะเป็นเรื่องที่มีความคลุมเครืออยู่มาก วันนี้ พรีโมแคร์ เมดิคอล คลินิก เลยจะพาไปรู้จักกับทั้งสองวิชาชีพนี้ให้ชัดขึ้น ว่าทำงานเหมือนหรือต่างกันอย่างไร พร้อมทั้งคำแนะนำเบื้องต้นในขั้นตอนการเริ่มปรึกษา

จิตแพทย์ และ นักจิตวิทยา ทำงานต่างกันอย่างไร?

จิตแพทย์และนักจิตวิทยาต่างก็มีความรู้ความเข้าใจเกี่ยวกับกลไกการทำงานของสมอง รวมถึงการเกิดอารมณ์ ความคิด ความรู้สึกต่างๆ และมีทักษะการรักษาทางจิตวิทยาด้วยการพูดคุย เพื่อให้ผู้ป่วยเกิดความเข้าใจในความคิดและพฤติกรรมของตนเอง นอกจากนี้เป้าหมายของทั้งคู่คือการช่วยให้สุขภาพจิตของผู้ป่วยดีขึ้น 

สิ่งที่แยกนักจิตวิทยาและจิตแพทย์ออกจากกัน มีดังต่อไปนี้

การศึกษาและความเชี่ยวชาญ

  • จิตแพทย์ เป็นแพทย์เฉพาะทางแขนงหนึ่ง เส้นทางการเป็นจิตแพทย์จึงต้องเริ่มจากการเรียนแพทย์ทั่วไปในคณะแพทยศาสตร์ 6 ปี และต่อแพทย์เฉพาะทางในภาควิชาจิตเวชศาสตร์อีก 3 ปี ใช้เวลาทั้งหมดอย่างน้อย 9 ปี มีความเชี่ยวชาญในการรักษาโรคทางจิต รวมถึงความผิดปกติทางอารมณ์และพฤติกรรม โดยในการวินิจฉัยและรักษาโรคทางจิตจะพิจารณาความผิดปกติจากปัจจัยทางด้านประสาทและสมอง พันธุกรรม รวมถึงโรคอื่นๆ ร่วมด้วย
  • นักจิตวิทยา ไม่ใช่แพทย์ แต่จบจากคณะต่างๆ เช่น จิตวิทยา มนุษยศาสตร์ สังคมศาสตร์ ในหลักสูตรสาขาจิตวิทยา ซึ่งเป็นศาสตร์ที่ศึกษาเกี่ยวกับจิตใจ กระบวนความคิด และพฤติกรรมของมนุษย์ในปัจจัยแวดล้อมทางสังคมต่างๆ ใช้เวลาเรียน 4 ปีในระดับปริญญาตรี และหากต้องการเป็นนักจิตวิทยาคลินิกที่ปฏิบัติงานด้านสุขภาพจิตและจิตเวชจะต้องต่อหลักสูตรอบรม 6 เดือนเพื่อสอบใบประกอบโรคศิลป์สาขาจิตวิทยาคลินิก

วิธีการรักษา

  • จิตแพทย์ สามารถตรวจวินิจฉัยโรคทางจิตต่างๆ และให้การรักษาที่ครอบคลุมมากกว่านักจิตวิทยา โดยจะเน้นรักษาด้วยยาและการทำจิตบำบัด ซึ่งบางครั้งในส่วนของการทำจิตบำบัดจะส่งต่อไปให้นักจิตวิทยาเป็นผู้ดูแล นอกจากนี้จิตแพทย์ยังอาจใช้การรักษาอื่นๆ ร่วมด้วย เช่น การกระตุ้นสมองด้วยไฟฟ้า รวมทั้งมีหน้าที่ในการตรวจสุขภาพกายและประเมินประสิทธิภาพของยาที่ผู้ป่วยใช้ 
  • นักจิตวิทยา ไม่สามารถวินิจฉัยโรคได้ แต่สามารถใช้แบบทดสอบทางจิตวิทยาเพื่อประกอบการวางแผนการบำบัดทางจิต การรักษาของนักจิตวิทยาจะเน้นวิธีการบำบัดทางจิต ความคิด อารมณ์ และพฤติกรรมโดยการพูดคุยแลกเปลี่ยนเป็นหลัก เพื่อหาสาเหตุของปัญหาและร่วมหาแนวทางการแก้ไข รวมถึงให้คำแนะนำในการปรับเปลี่ยนพฤติกรรมหรือความคิดเพื่อฟื้นฟูสุขภาพจิต ในกรณีที่ผู้ป่วยมีอาการรุนแรงหรือคาดว่าการใช้ยาอาจช่วยได้ นักจิตวิทยาจะส่งต่อผู้ป่วยไปยังจิตแพทย์ พร้อมผลการประเมินสภาพจิตเพื่อเป็นข้อมูลประกอบการวินิจฉัยเพิ่มเติม 

โรคที่ให้การรักษา

  • จิตแพทย์ จะเน้นรักษาโรคที่ต้องใช้หลายวิธีรักษาร่วมกัน ทั้งการใช้ยา การบำบัดทางจิต และการใช้จิตสังคมบำบัด โดยให้ความสำคัญกับปัจจัยด้านจิตใจ อารมณ์ และสังคมของผู้ป่วยอย่างครอบคลุม ผู้ป่วยที่มีโรคที่ค่อนข้างซับซ้อน เช่น โรคซึมเศร้าหรือวิตกกังวลชนิดรุนแรง โรคไบโพลาร์ โรคจิตเภท ภาวะออทิสติก มักต้องได้รับการรักษาจากจิตแพทย์ รวมไปถึงกรณีที่มีพฤติกรรมทำร้ายตนเองและคนรอบข้าง
  • นักจิตวิทยา มักดูแลปัญหาทางสภาวะจิตใจที่สามารถรักษาได้ด้วยการทำจิตบำบัด ปัญหาทั่วไปที่หลายคนพบเจอในชีวิตประจำวัน แต่ไม่สามารถหาทางออกด้วยตัวเอง หรือไม่รู้จะไปปรึกษาใคร ล้วนแล้วแต่ปรึกษานักจิตวิทยาได้ เช่น ความเครียดจากการเรียนและการทำงาน ภาวะหมดไฟในการทำงาน (Burnout) ความวิตกกังวลต่อเรื่องต่างๆ ที่รู้สึกว่ามีมากเกินไป และปัญหาด้านความสัมพันธ์กับคนรอบข้าง ทั้งครอบครัว เพื่อน หรือคนในที่ทำงาน รวมไปถึงภาวะซึมเศร้าและวิตกกังวลที่ยังไม่รุนแรง ปัญหาอื่นๆ ในด้านพฤติกรรม การเรียนรู้ และการปรับตัวเข้ากับสังคม 

เริ่มต้นพบจิตแพทย์หรือนักจิตวิทยาอย่างไรดี?

การเลือกผู้เชี่ยวชาญด้านสุขภาพจิตและการรักษาที่เหมาะสมกับภาวะทางจิตที่กำลังเผชิญไม่ต่างจากการหาหมอให้ถูกโรค เบื้องต้นแนะนำให้โทรสอบถามสถานพยาบาลและอาจอธิบายสาเหตุที่อยากขอคำปรึกษาเพื่อรับคำแนะนำเพิ่มเติมว่าควรพบจิตแพทย์หรือนักจิตวิทยา

ในการพบกันครั้งแรก จิตแพทย์หรือนักจิตวิทยาจะพูดคุยถึงสาเหตุที่คุณคิดว่าตนเองต้องการรับการบำบัด และสอบถามว่ามีอาการอย่างไร รู้สึกอย่างไร เป็นมานานแค่ไหน หลังจากนั้นจะเริ่มพูดคุยในเรื่องต่างๆ เพื่อทำความเข้าใจผู้ป่วยให้มากขึ้น เช่น ครอบครัว การทำงาน งานอดิเรก หรือกิจกรรมที่ชอบทำ และอาจมีการทำแบบประเมินสุขภาพจิตร่วมด้วย เมื่อรู้จักกันมากขึ้นแล้วก็จะเข้าสู่ขั้นการวางแผนการรักษาและเปิดโอกาสให้ถามคำถามที่คุณยังสงสัยหรือข้องใจเกี่ยวกับการรักษา 

คุณอาจต้องใช้เวลาหลายสัปดาห์กว่าจะคุ้นเคยกับการบำบัดจิตกับจิตแพทย์หรือนักจิตวิทยา หากผ่านไป 2-3 สัปดาห์แล้วยังรู้สึกว่าการรักษาไม่ได้ช่วยให้รู้สึกดีขึ้น ควรบอกให้ผู้ที่ให้การรักษาทราบเพื่อปรับวิธีการบำบัดให้เหมาะกับตัวเอง ซึ่งจะส่งผลดีต่อประสิทธิภาพการรักษา ไม่ควรฝืนทำต่อไปโดยที่รู้สึกไม่ใช่ เพราะนั่นเท่ากับผิดวัตถุประสงค์การรักษาของจิตแพทย์และนักจิตวิทยา ที่ต้องการช่วยฟื้นฟูสุขภาพจิตของผู้ป่วยและส่งเสริมการมีคุณภาพชีวิตโดยรวมที่ดี

สุขภาพใจมีความสำคัญและต้องการการดูแลไม่ต่างจากสุขภาพกาย หมั่นสังเกตอารมณ์ ความคิด และความรู้สึกของตัวเอง ถ้าไม่ไหวก็ไม่ต้องฝืน ให้พรีโมแคร์ช่วยรับฟังและหาทางรับมือปัญหา นัดหมายปรึกษานักจิตวิทยาของเราได้ที่นี่ 

Reference

บทความที่เกี่ยวข้อง

Categories
Uncategorized

กายภาพบำบัด กับ นวด ต่างกันอย่างไร? เลือกรักษาแบบไหนดี?

    /    บทความ    /    กายภาพบำบัด กับ นวด ต่างกันอย่างไร? เลือกรักษาแบบไหนดี?

กายภาพบำบัด หรือ นวด อาการแบบนี้ถ้าจะให้ดีควรเลือกอย่างไหน? นักกายภาพบำบัดกับหมอนวดต่างกันยังไง? เช็กให้รู้ เลือกการรักษาที่ใช่

การกายภาพบำบัดและการนวดบำบัดต่างเป็นศาสตร์แห่งการฟื้นฟูร่างกายที่ต้องใช้ทักษะเฉพาะ โดยการทำกายภาพบำบัดนั้นจัดเป็นการรักษาทางการแพทย์ ส่วนการนวดบำบัดทั่วไปจะอยู่ในหมวดแพทย์ทางเลือก ซึ่งสำหรับคนทั่วไปก็ยังเป็นที่สับสนกันมากว่าการนวดและการทำกายภาพบำบัดนั้นเหมือนหรือต่างกันอย่างไร บทความนี้เราจะมาดูกันชัดๆ ว่าอาการแบบไหนควรรักษาอย่างไรถึงจะดีที่สุด 

อาการแบบนี้ นวดบำบัดทั่วไปช่วยได้

การนวดบำบัดทั่วไป มีจุดประสงค์ในการช่วยคลายกล้ามเนื้อ โดยอาจใช้เทคนิคการนวดคลึง การกดเน้นตามจุด และการเหยียดยืดกล้ามเนื้อ ซึ่งจะช่วยเพิ่มการไหลเวียนของเลือด บรรเทาอาการปวดเมื่อยและลดการตึงตัวของกล้ามเนื้อ ส่งผลให้รู้สึกดีขึ้นในขณะที่เคลื่อนไหวร่างกาย นอกจากนี้ยังส่งผลดีต่อสุขภาพจิตในด้านการลดความเครียดและความวิตกกังวลได้อีกด้วย

ในกรณีต่อไปนี้ การนวดบำบัดทั่วไปถือเป็นตัวเลือกที่ตอบโจทย์

  • มีอาการตึงหรือปวดกล้ามเนื้อเล็กน้อย
  • มีอาการปวดเมื่อยที่ไม่เรื้อรังจากการทำงานหรือกิจวัตรประจำวันอื่นๆ 
  • ต้องการผ่อนคลายจากความเครียดและความวิตกกังวล
  • ต้องการฟื้นฟูร่างกายหลังจากออกกำลังกายหรือเล่นกีฬา

อาการแบบนี้ ให้กายภาพบำบัดช่วยดีกว่า

การทำกายภาพบำบัด มีจุดประสงค์เพื่อทำการรักษาอาการบาดเจ็บ รวมถึงความเจ็บป่วยรุนแรงหรือเรื้อรัง โดยเป็นหน้าที่ของแพทย์เวชศาสตร์ฟื้นฟูและนักกายภาพบำบัดในการตรวจร่างกาย วินิจฉัย และออกแบบการรักษาตามอาการและสาเหตุการเจ็บป่วย

สำหรับกรณีต่อไปนี้ การรักษาด้วยกายภาพบำบัดจะเป็นทางเลือกที่เหมาะสมมากกว่าการนวดบำบัดทั่วไป

  • มีอาการปวดเรื้อรังหรือปวดรุนแรงมากจนเป็นอุปสรรคต่อการเคลื่อนไหวร่างกาย ส่งผลต่อการทำงานและการทำกิจกรรมต่างๆ 
  • มีอาการที่เคยรักษาด้วยการนวดบำบัดมาก่อน แต่อาการไม่ดีขึ้นหรือยังคงเป็นอย่างต่อเนื่อง
  • มีอาการบาดเจ็บจากอุบัติเหตุหรือการเล่นกีฬา เช่น ข้อเท้าพลิก แล้วต้องการตรวจประเมินและรับคำแนะนำในการรักษา รวมถึงวิธีการดูแลตัวเองที่ถูกต้อง 
  • ได้รับคำแนะนำส่งต่อจากแพทย์เวชศาสตร์ฟื้นฟูหรือผู้เชี่ยวชาญด้านสุขภาพอื่นๆ ให้รับการรักษาโดยทำกายภาพบำบัด

หลายครั้งที่เรามักละเลยการพบแพทย์หรือนักกายภาพบำบัดเพราะคิดว่าอาการจะดีขึ้นเองในไม่ช้า แต่กลายเป็นว่าอาการกลับยิ่งเรื้อรังและรุนแรงมากขึ้น ดังนั้นตามคำแนะนำที่ถูกต้อง เราควรรับการตรวจรักษาทันทีที่ได้รับบาดเจ็บ หรือมีอาการปวดตามร่างกายที่เป็นอุปสรรคต่อการใช้ชีวิตประจำวัน

การทำงานของแพทย์เวชศาสตร์ฟื้นฟูและนักกายภาพบำบัด

ในการรักษาทางกายภาพบำบัด เราจะพบกับแพทย์เวชศาสตร์ฟื้นฟูเป็นอันดับแรก ซึ่งเป็นผู้เชี่ยวชาญเกี่ยวกับโครงสร้างและการทำงานของร่างกาย รวมถึงทางด้านระบบประสาท ระบบหัวใจและหลอดเลือด ที่สามารถส่งผลถึงระบบกระดูกและกล้ามเนื้อ โดยแพทย์จะทำหน้าที่ตรวจประเมิน วินิจฉัย และรักษา ไปจนถึงการตรวจรักษาสุขภาพโดยรวมและโรคประจำตัวอื่นๆ ของคนไข้

แพทย์เวชศาสตร์ฟื้นฟูทำงานร่วมกับนักกายภาพบำบัด ซึ่งเป็นผู้ที่มีทักษะเกี่ยวกับการป้องกันรักษาและจัดการการเคลื่อนไหวที่ผิดปกติที่เกิดขึ้น สามารถตรวจประเมินการเคลื่อนไหว อาการบาดเจ็บ ช่วงมุมการเคลื่อนไหวของข้อต่อ ความแข็งแรงและความยาวของกล้ามเนื้อ รวมถึงปัจจัยด้านอื่นๆ ที่เกี่ยวข้องกับอาการบาดเจ็บหรืออาการจากโรคที่เกิดขึ้น เช่น ท่าทางในการนั่ง การทำงาน (ออฟฟิศซินโดรม) หรือการออกกำลังกาย นอกจากนี้ยังมีความเชี่ยวชาญในการใช้เครื่องมือทางกายภาพบำบัด เช่น เครื่องอัลตร้าซาวด์ เครื่องช็อคเวฟ เป็นต้น 

โดยหลังจากแพทย์เวชศาสตร์ฟื้นฟูส่งต่อผู้ป่วยมาทำกายภาพบำบัด นักกายภาพบำบัดจะเป็นผู้ตรวจประเมิน และทำการรักษาผู้ป่วยจนสามารถกลับไปใช้ชีวิตประจำวันตามปกติ หรือสามารถทำตามเป้าหมายที่ตั้งไว้ เช่น การกลับไปเล่นกีฬา รวมถึงให้คำแนะนำในการปฏิบัติตัวเพื่อป้องกันการกลับไปเป็นซ้ำ

ทั้งนี้ ในคลินิกหรือสถานพยาบาลที่ไม่มีแพทย์เวชศาสตร์ฟื้นฟูกำกับ การรักษาของนักกายภาพบำบัดจะรวมถึงการวินิจฉัยประเมินอาการ และพูดคุยกับผู้ป่วยเพื่อซักประวัติอย่างละเอียด ไม่ว่าจะเป็นโรคประจำตัว อาการ และพฤติกรรมหรือปัจจัยเสี่ยงอื่นๆ ที่อาจส่งผลให้มีอาการดังกล่าว 

ในด้านขั้นตอนการรักษา นักกายภาพบำบัดจะใช้เทคนิคที่หลากหลายตามความเหมาะสม เช่น การบำบัดด้วยมือ ซึ่งรวมถึงเทคนิคการดัด ดึง และขยับข้อต่อ การบำบัดด้วยการออกกำลังกาย การใช้เครื่องช็อคเวฟ คลื่นอัลตราซาวด์ ความร้อน และความเย็น เป็นต้น

การนวดนั้นเหมาะสำหรับอาการปวดนิดตึงหน่อยหรือในวันที่เครียดและต้องการผ่อนคลาย แต่หากมีอาการที่เรื้อรัง เป็นๆ หายๆ ที่รบกวนใจหรือขัดขวางการทำงานและการใช้ชีวิตอย่างราบรื่น การกายภาพบำบัดคือคำตอบของคุณ 

สนใจคลิกดูรายละเอียดบริการกายภาพบำบัดที่พรีโมแคร์ เมดิคอล คลินิก ได้ที่นี่

บทความที่เกี่ยวข้อง

Categories
Uncategorized

Sick Building Syndrome โรคแปลกของชาวออฟฟิศ คือโรคอะไรกันแน่?

    /    บทความ    /    Sick Building Syndrome โรคแปลกของชาวออฟฟิศ คือโรคอะไรกันแน่?

ไปออฟฟิศทีไรอาการไม่ดีตลอด แต่พอกลับถึงบ้านก็ดีขึ้น คุณกำลังมีภาวะ Sick Building Syndrome อยู่หรือเปล่า? เช็กตัวเองได้ที่นี่

Sick Building Syndrome (SBS) เป็นภาวะความเจ็บป่วยที่เชื่อว่าอาจเกิดจากการทำงานภายในอาคารและสถานที่ปิด ซึ่งยังไม่เป็นที่ทราบแน่ชัดว่าสาเหตุที่แท้จริงเกิดจากอะไร อาการของภาวะนี้ค่อนข้างกว้างและอาจดูคล้ายโรคอื่น ทำให้การตรวจวินิจฉัยทำได้ยาก โดยผู้ป่วยอาจมีอาการเกิดขึ้นในห้องใดห้องหนึ่งหรือกินบริเวณกว้างทั้งอาคารก็ได้

หากคุณมีอาการผิดปกติที่หาสาเหตุไม่ได้บ่อยครั้งในที่ทำงานหรือที่พักอาศัย พรีโมแคร์ เมดิคอล คลินิก อยากชวนคุณมาทำความรู้จักโรคนี้เพิ่มเติมเพื่อตรวจสอบอาการและสภาพแวดล้อมของอาคารที่ใช้ชีวิตเป็นประจำ ว่าเข้าข่าย Sick Building Syndrome หรือไม่

วิธีสังเกตอาการ Sick Building Syndrome

อาการของ Sick Building Syndrome ที่เกิดขึ้นอาจส่งผลต่อระบบทางเดินหายใจ ผิวหนัง หรือระบบประสาทก็ได้ และมักทำให้หลายคนเข้าใจผิดว่าเป็นอาการของโรคอื่น เช่น หวัด หรือภูมิแพ้ วิธีสังเกตเบื้องต้นให้ดูว่าอาการต่อไปนี้ดีขึ้นหรือหายไปเมื่อออกจากอาคารหรือไม่ และมีอาการอย่างไรเมื่อกลับไปอยู่ภายในอาคารอีกครั้ง

  • ปวดหรือวิงเวียนศีรษะ คลื่นไส้
  • คัดจมูก น้ำมูกไหล 
  • ระคายเคืองตา ตาแห้ง
  • เจ็บคอ ระคายเคืองคอ ไอ 
  • หายใจลำบาก หายใจมีเสียงดังหวีด
  • ผิวหนังแห้ง คัน มีผื่นขึ้น
  • อ่อนเพลีย ไม่มีสมาธิทำงาน สมองล้า
  • มีไข้ หนาวสั่น
  • ปวดเมื่อยกล้ามเนื้อ

นอกจากนี้ อาการของ Sick Building Syndrome อาจรุนแรงขึ้นได้หากเกิดขึ้นพร้อมกับอาการภูมิแพ้หรือโรคทางระบบทางเดินหายใจ และอาจส่งผลให้อาการของโรคอื่นกำเริบได้เช่นกัน นอกจากนี้ มีความเป็นไปได้ที่บางคนอาจมีอาการหลังจากออกจากอาคารไปแล้ว เนื่องจากภาวะนี้เป็นภาวะที่เกิดขึ้นจากการอยู่ในอาคารนั้นเป็นประจำหรือต่อเนื่องเป็นเวลานาน

อะไรคือสาเหตุของ Sick Building Syndrome?

ปัจจุบันยังไม่เป็นที่ทราบแน่ชัดว่าโรคนี้เกิดจากอะไรกันแน่ แต่คาดว่าสภาพแวดล้อมภายในอาคารต่อไปนี้อาจเป็นปัจจัยที่ให้เกิดอาการของ Sick Building Syndrome ตามมาได้

  • การถ่ายเทอากาศที่ไม่ดี ซึ่งอาจทำให้เกิดการสะสมของมลพิษ ฝุ่นควัน สารพิษ และเชื้อโรคต่างๆ ในระดับที่ส่งผลต่อสุขภาพ
  • มลพิษจากภายนอก เช่น ฝุ่น ผง ควันบุหรี่ หรือควันจากรถยนต์ที่ลอยเข้ามาในอาคาร
  • มลพิษ สารพิษ และสารเคมีต่างๆ จากภายในอาคาร ได้แก่
    • เชื้อรา ไวรัส แบคทีเรียที่สะสม
    • ควันบุหรี่ ควันจากเตาอาหาร 
    • น้ำยาทำความสะอาด สีทาผนัง และสารฟอร์มาลดีไฮด์ในพื้นหรือเฟอร์นิเจอร์ที่ทำจากไม้
    • แร่ใยหินที่ใช้เป็นส่วนประกอบของวัสดุต่างๆ ภายในอาคาร เช่น กระเบื้อง ท่อน้ำประปา ท่อซีเมนต์
    • ก๊าซเรดอนที่เป็นสารกัมมันตรังสีที่ไม่มีสี ไม่มีกลิ่น ไม่มีรส และอาจสะสมอยู่ในบ้านที่ไม่มีการระบายอากาศ
  • ความสว่างภายในอาคาร เช่น แสงไฟที่สว่างจ้าหรือมืดเกินไป ซึ่งส่งผลต่อการมองเห็น รวมถึงความชัดและความสว่างของหน้าจอคอมพิวเตอร์ที่ไม่สบายตา
  • ปัจจัยทางสภาพแวดล้อมอื่นๆ เช่น
    • อุณหภูมิที่ร้อนหรือเย็นเกินไป และระดับความชื้นในอากาศที่ต่ำ
    • มีเสียงรอบข้างดังเกินไป
    • มีแมลงหรือมูลของเสียจากสัตว์ เช่น หนู จิ้งจก เป็นต้น

ปัญหาการระบายอากาศและสภาพแวดล้อมภายในอาคารเหล่านี้อาจเป็นเรื่องที่ไม่สามารถปรับแก้ด้วยตนเองได้ จึงควรแจ้งให้เจ้านายหรือผู้ว่าจ้างทราบเมื่อพบปัญหาที่อาจส่งผลต่อสุขภาพและประสิทธิภาพการทำงาน เพื่อหาวิธีจัดการร่วมกันอย่างเหมาะสมต่อไป

วิธีป้องกันและบรรเทาอาการจาก Sick Building Syndrome

ยากที่จะบอกได้ว่าอาการที่เกิดขึ้นมีสาเหตุจากอะไรกันแน่ การป้องกันโรคนี้จึงเน้นไปที่การหลีกเลี่ยงปัจจัยเสี่ยงข้างต้นรวมถึงการลดพฤติกรรมที่อาจนำมาซึ่ง Sick Building Syndrome โดยสามารถทำได้ตามคำแนะนำต่อไปนี้

  • หากไม่มีเครื่องปรับอากาศ ควรเปิดหน้าต่างและใช้พัดลมเป่าเพื่อเพิ่มการระบายอากาศ
  • หมั่นดูดฝุ่นและทำความสะอาดห้องหรืออาคาร 
  • เปลี่ยนหรือทำความสะอาดฟิลเตอร์เครื่องปรับอากาศทุก 2-3 เดือน
  • ใช้เครื่องกรองอากาศเพื่อลดฝุ่น ไวรัส แบคทีเรีย เชื้อรา และสิ่งสกปรกภายในห้อง
  • ปรับแสงไฟภายในอาคารให้สว่างพอดี ปรับแสงหน้าจอให้สบายตา และอัปเกรดจอแสดงผลต่างๆ ให้สามารถมองได้โดยไม่ต้องเพ่งสายตา
  • พยายามผ่อนคลายความเครียดจากการทำงาน เพราะอาจกระตุ้นให้เกิดอาการหรือมีอาการแย่ลงได้
  • หมั่นพักสายตาจากหน้าจอคอมพิวเตอร์ โดยมองออกไปไกลๆ ประมาณ 20 วินาที ทุกๆ 20 นาที และอย่าลืมกระพริบตาบ่อยๆ
  • หาโอกาสออกไปสูดอากาศข้างนอก เช่น ช่วงพักกลางวัน พักเบรค หรือระหว่างไปเข้าห้องน้ำ
  • ลุกขึ้นมายืดเส้นยืดสายหรือทำท่ากายบริหารง่ายๆ เพื่อคลายความเมื่อยล้าที่อาจเกิดจากการนั่งนานเกินไป

หากปรับตามนี้แล้วอาการยังไม่ดีขึ้นก็ถึงเวลาที่ต้องไปพบแพทย์เพื่อตรวจหาสาเหตุที่แน่ชัด โดยหากไม่ได้เกิดจากโรคอื่น แพทย์อาจตรวจว่าอาการที่เกิดขึ้นมาจากสภาพแวดล้อมการทำงานหรือไม่ เช่น การตรวจหาสารฟอร์มาลีนไฮด์ ก๊าซเรดอน แร่ใยหิน เชื้อราดำ และการตรวจโลหะหนัก

สำหรับใครที่ไม่แน่ใจว่าอาการที่เกิดขึ้นคือ Sick Building Syndrome หรือไม่ สามารถปรึกษาคุณหมอที่พรีโมแคร์ เมดิคอล คลินิก เพื่อรับการตรวจให้แน่ชัดว่าไม่ได้เกิดจากโรคอื่นๆ ที่มีอาการคล้ายกัน พร้อมรับการรักษาอย่างตรงจุด ตามสาเหตุที่พบต่อไป คลิกดูบริการของเราได้เลยที่นี่

บทความที่เกี่ยวข้อง

Categories
Uncategorized

รับมือและป้องกันอย่างไร เมื่อเชื้อโควิด-19 ติดต่อทางอากาศ

    /    บทความ    /    รับมือและป้องกันอย่างไร เมื่อเชื้อโควิด-19 ติดต่อทางอากาศ

เมื่อไวรัสโควิด-19 แพร่กระจายได้ในอากาศ จะมีวิธีป้องกันตัวเองและคนรอบข้างจากการติดเชื้ออย่างไร?

เมื่อวันที่ 7 พฤษภาคม 2021 ศูนย์ควบคุมและป้องกันโรคสหรัฐฯ (Centers for Disease Control and Prevention: CDC) ได้อัปเดตข้อมูลเพิ่มเติมเกี่ยวกับการแพร่กระจายของเชื้อไวรัสโควิด-19 ว่าสามารถติดต่อผ่านทางอากาศ (Airborne) จากเดิมที่กล่าวว่าไวรัสนี้สามารถติดต่อผ่านละอองฝอยขนาดใหญ่จากสารคัดหลั่งเป็นหลัก รองลงมาคือการสัมผัสพื้นผิวที่มีเชื้อไวรัส ส่วนการแพร่กระจายทางอากาศนั้นเกิดขึ้นได้น้อยมาก

ก่อนหน้านี้นักระบาดวิทยาและผู้เชี่ยวชาญทั้งในสหรัฐอเมริกา แคนาดา อังกฤษ และประเทศต่างๆ รวมตัวกันเรียกร้องให้ทางองค์การอนามัยโลก (WHO) และ CDC ทบทวนวิธีการติดต่อของเชื้อโควิด-19 และให้ความสำคัญกับมาตรการป้องกันการแพร่กระจายของเชื้อทางอากาศ หลังจากพบหลักฐานหลายอย่างที่บ่งชี้ว่าไวรัสโควิด-19 มีแนวโน้มที่จะแพร่กระจายทางอากาศได้พอๆ กับการสัมผัสเชื้ออีก 2 ทาง และนี่อาจเป็นเหตุผลที่ว่าทำไมในหลายกรณีจึงพบว่ามีการติดเชื้อทั้งที่ไม่น่าจะเกิดขึ้นได้

 

เชื้อโควิด-19 ติดทางไหนกันแน่?

ขณะที่เราพูด ร้องเพลง ไอ จาม ออกกำลังกาย หรือแม้แต่หายใจตามปกติ จะมีละอองสารคัดหลั่งกระจายออกจากช่องปากและจมูก โดยละอองเหล่านี้มีอนุภาคขนาดเล็กใหญ่ต่างกันไป และแต่ละขนาดมีการแพร่กระจายของเชื้อที่ติดออกมาด้วยต่างกัน

  • ละอองสารคัดหลั่งขนาดใหญ่ที่สุด จะตกลงสู่พื้นภายในหลักวินาทีถึงหลายนาที ทำให้สามารถได้รับเชื้อที่ติดมากับละอองฝอยเหล่านี้ผ่านทางเยื่อบุตา จมูก และปากโดยตรง โดยเฉพาะเมื่ออยู่ในระยะ 2 เมตร ซึ่งจะมีความเข้มข้นของละอองสูง และยังมีโอกาสติดเชื้อจากการนำมือที่ปนเปื้อนเชื้อจากละอองสารคัดหลั่งหรือพื้นผิวที่มีเชื้อไวรัสมาสัมผัสเยื่อบุบริเวณตา จมูก และปาก
  • ละอองสารคัดหลั่งขนาดเล็กที่สุด มีอนุภาคน้อยกว่า 5 ไมครอน ด้วยขนาดที่เล็กมากทำให้แห้งและกลายเป็นละอองลอยค้างในอากาศได้นานหลายนาทีถึงหลายชั่วโมง ทำให้สามารถติดเชื้อได้จากการหายใจเอาเชื้อในอากาศเข้าไป โดยเฉพาะเมื่ออยู่ในระยะ 2 เมตร ที่มีความเข้มข้นของละอองสูง

 

แม้เว้นระยะห่าง ก็ยังเสี่ยงติดเชื้อโควิด-19 ทางอากาศได้

โอกาสเสี่ยงในการติดเชื้อทางอากาศจะลดน้อยลงเมื่ออยู่ห่างจากผู้ติดเชื้อมากกว่า 2 เมตรเช่นเดียวกับการแพร่เชื้อทางละอองสารคัดหลั่งขนาดใหญ่ แต่มีหลักฐานที่สนับสนุนว่าจะทำให้เสี่ยงเกิดการติดเชื้อมากขึ้นหากมีการสัมผัสเป็นเวลานาน (มากกว่า 15 นาที) ในสภาพแวดล้อมที่มีปริมาณไวรัสในอากาศเข้มข้นขึ้น จนสามารถแพร่กระจายไปได้ไกลกว่า 2 เมตร หรือสามารถติดต่อกันได้หากเข้าไปยังพื้นที่ที่ผู้ติดเชื้อเพิ่งออกไปไม่นาน ดังนั้นจึงควรหลีกเลี่ยงปัจจัยเสี่ยงดังต่อไปนี้ 

  • พื้นที่ปิดที่มีการถ่ายเทอากาศไม่ดี ซึ่งอาจทำให้เกิดการสะสมของเชื้อในอากาศมากยิ่งขึ้น
  • การทำกิจกรรมที่เพิ่มการปล่อยละอองสารคัดหลั่ง เช่น การใช้เสียงตะโกน การร้องเพลง การออกกำลังกาย เป็นต้น
  • การอยู่ในพื้นที่ที่มีความเสี่ยงดังกล่าวเป็นเวลานานกว่า 15 นาที

 

รับมือกับการแพร่กระจายทางอากาศของเชื้อโควิด-19 อย่างไร?

CDC ให้ข้อสรุปเกี่ยวกับหลักฐานที่พบในตอนนี้ว่าการสัมผัสเชื้อที่ปนเปื้อนบนพื้นผิวสัมผัสต่างๆ เช่น เสื้อผ้า และสิ่งของต่างๆ แล้วนำมามาสัมผัสตามใบหน้า มีความเป็นไปได้น้อยที่จะก่อให้เกิดการติดเชื้อ ส่วนระดับความเสี่ยงของการติดเชื้อทางอากาศและการได้รับละอองสารคัดหลั่งจากผู้ป่วยโดยตรงก็ยังมีความคลุมเครือและต้องอาศัยผลการศึกษาเพิ่มเติม ในระหว่างนี้แนะนำให้ปฏิบัติตามมาตรการป้องกันต่างๆ ตามเดิม ซึ่งยังคงช่วยป้องกันการแพร่กระจายเชื้อในช่องทางต่างๆ อย่างครอบคลุม ได้แก่ 

  • เว้นระยะห่างอย่างน้อย 2 เมตร
  • ใส่หน้ากากอนามัยให้มิดชิดเสมอเมื่อออกจากบ้าน
  • หมั่นล้างมือให้สะอาดด้วยสบู่ หรือใช้เจลแอลกอฮอล์ที่มีความเข้มข้น 70% ขึ้นไป
  • หลีกเลี่ยงการอยู่ในพื้นที่ปิดที่มีคนแออัด และที่ที่มีอากาศถ่ายเทไม่ดี หากจำเป็นควรสวมใส่หน้ากากอนามัยตลอดเวลา
  • เพิ่มการถ่ายเทอากาศในห้องด้วยการเปิดหน้าต่าง หรือติดตั้งพัดลมระบายอากาศเพื่อลดการสะสมของไวรัส
  • งดกิจกรรมที่ทำให้เกิดการปล่อยละอองสารคัดหลั่งมากร่วมกับผู้อื่น เช่น การตะโกน การร้องเพลง รวมถึงการออกกำลังกายที่เพิ่มอัตราการหายใจ

ข้อมูลการแพร่ระบาดทางอากาศของไวรัสโควิด-19 ที่ CDC ประกาศออกมาอย่างเป็นทางการเพิ่มเติมนี้ แม้จะไม่ได้มีข้อปฏิบัติในการรับมือที่เปลี่ยนแปลงไปจากเดิมมากนัก แต่ก็ถือเป็นแนวทางให้เราตะหนักถึงความอันตรายของเชื้อโควิด-19 และใช้ชีวิตอย่างระมัดระวังในที่ที่อากาศถ่ายเทไม่ดีกันมากขึ้น

การแพร่ระบาดของโรคโควิด-19 ที่ต่อเนื่องและยาวนานทำให้เราต่างรู้สึกเหนื่อยล้า พรีโมแคร์ เมดิคอล คลินิก ขอเป็นกำลังใจพร้อมช่วยคุณดูแลสุขภาพกายใจให้พร้อมรับมือทุกสถานการณ์ อ่านบทความน่ารู้เกี่ยวกับเคล็ดลับสุขภาพดีเพิ่มเติมได้ที่นี่เลย

บทความที่เกี่ยวข้อง

Categories
Uncategorized

Primary Care บริการสุขภาพใกล้บ้าน ดูแลเคียงข้างตั้งแต่ต้นจนจบ

    /    บทความ    /    Primary Care บริการสุขภาพใกล้บ้าน ดูแลเคียงข้างตั้งแต่ต้นจนจบ

Primary Care บริการสุขภาพใกล้บ้าน ดูแลเคียงข้างตั้งแต่ต้นจนจบ

Primary Care บริการสุขภาพใกล้บ้าน
ดูแลเคียงข้างตั้งแต่ต้นจนจบ

Primary Care คืออะไร สำคัญยังไง ระบบสุขภาพปฐมภูมิ​ในไทย หน้าตาเป็นอย่างไร​ กับทิศทาง​การเปลี่ยนแปลง​เพื่อระบบที่ดีขึ้น

Primary Care หรือ “การบริการปฐมภูมิ” เป็นคำที่หลายคนอาจฟังแล้วไม่เข้าใจ หรืออาจเข้าใจว่าหมายถึงการรักษาอาการเจ็บป่วยเล็กๆ น้อยๆ แต่แท้จริงแล้วในหลายประเทศ บริการสุขภาพแบบ Primary Care มีบทบาทสำคัญในฐานะบริการสุขภาพด่านแรกที่ทุกคนจะได้รับเมื่อมีความต้องการทางสุขภาพที่ไม่ฉุกเฉิน 

กล่าวได้ว่า Primary Care เป็นบริการหลักที่ช่วยดูแล รักษา และให้คำแนะนำเกี่ยวกับสุขภาพอย่างต่อเนื่องไปตลอดชีวิต เปรียบเสมือนหมอประจำครอบครัวที่คุ้นเคยและรู้จักคนไข้ในแง่มุมรอบด้านไม่ว่าจะเป็นอาการหนักหรือเบา 

ทำความรู้จักกับระบบสุขภาพระดับปฐมภูมิ ทุติยภูมิ และตติยภูมิ 

สถานบริการสุขภาพแต่ละแห่งนั้นจะมีการแบ่งขอบเขตของการบริการสุขภาพที่แตกต่างกัน ซึ่งมีตั้งแต่การดูแลรักษาทั่วไปจนถึงการดูแลรักษาแบบเฉพาะทาง โดยสามารถแบ่งเป็น 3 ระดับ ได้แก่ การบริการสุขภาพระดับปฐมภูมิ ทุติยภูมิ และตติยภูมิ 

การบริการปฐมภูมิ (Primary Care) คือ บริการสุขภาพที่ใกล้ชิดชุมชนที่สุดและควรเป็นบริการระดับแรกที่ผู้ป่วยนึกถึงเมื่อมีความเจ็บป่วยที่ไม่ฉุกเฉิน หรือมีความกังวลใจไม่ว่าทางกายหรือทางจิตใจ

บุคลากรในระบบ Primary Care จึงเป็นผู้เชี่ยวชาญในโรคที่พบบ่อย สามารถให้การวินิจฉัยและดูแลตั้งแต่ระยะเริ่มแรกของความเจ็บป่วย โดยประกอบด้วยหมอเวชศาสตร์ครอบครัว หมอเวชปฏิบัติทั่วไป พยาบาล และทีมสหวิชาชีพ เช่น ทันตแพทย์ เภสัชกร นักกายภาพบำบัด นักจิตวิทยา เป็นต้น มักอยู่ในลักษณะคลินิกหรือศูนย์สุขภาพในชุมชนต่างๆ

Primary Care เน้นการดูแลแบบองค์รวมและดูแลอย่างต่อเนื่องเพื่อส่งเสริมสุขภาพที่ดีตลอดชีวิต ไม่ว่าจะเป็นการรักษาโรคทั่วไป อาการเจ็บป่วยเฉียบพลัน การติดตามดูแลอาการโรคเรื้อรัง การฟื้นฟูสุขภาพอย่างการทำกายภาพบำบัด โภชนบำบัด รวมถึงการส่งเสริมสุขภาพและป้องกันโรค เช่น การฉีดวัคซีน การตรวจสุขภาพ และมีระบบการปรึกษาและส่งต่อไปยังผู้เชี่ยวชาญเฉพาะทาง ซึ่งเป็นบริการสุขภาพระดับทุติยภูมิและตติยภูมิ

การบริการทุติยภูมิ (Secondary Care) คือ บริการสุขภาพที่รองรับผู้ป่วยที่ถูกส่งต่อมาจากคลินิกหรือศูนย์สุขภาพต่างๆ ในกรณีที่ต้องรับเข้าเป็นผู้ป่วยใน เช่น โรงพยาบาลชุมชน โรงพยาบาลทั่วไป โรงพยาบาลเอกชน และคลินิกเฉพาะทางที่ตั้งอยู่ในโรงพยาบาลต่างๆ

การบริการตติยภูมิ (Tertiary Care) บริการสุขภาพเฉพาะทางที่มีอุปกรณ์และเทคโนโลยีที่จำเป็นต่อการตรวจรักษาอย่างครบถ้วน ซึ่งมักต้องใช้ค่าใช้จ่ายในการดูแลรักษาสูง ได้แก่ โรงพยาบาลศูนย์ สถาบันเฉพาะทางต่างๆ และโรงพยาบาลในโรงเรียนแพทย์ ผู้ป่วยอาจได้รับการส่งต่อมาจากหน่วยทุติยภูมิหรือหน่วยปฐมภูมิโดยตรงก็ได้ ขึ้นอยู่กับอาการและความรุนแรงของโรค

หลักการของบริการสุขภาพแบบ Primary Care

ระบบ Primary Care เป็นการดูแลสุขภาพตามหลักเวชศาสตร์ครอบครัว และการประยุกต์ความรู้ด้านการแพทย์ จิตวิทยา สังคมศาสตร์เข้าด้วยกัน โดยรวมมีหลักการทำงานที่เป็นหัวใจสำคัญ ดังต่อไปนี้ 

  • ดูแลรักษาทุกอาการในเบื้องต้น รวมถึงให้คำแนะนำในการดูแลส่งเสริมสุขภาพ ในฐานะบริการสุขภาพด่านแรกที่ใกล้ชิดชุมชนที่สุด 
  • เข้าถึงทุกคน ทุกเพศ ทุกวัยอย่างเท่าเทียมกัน โดยประยุกต์เทคโนโลยีมาช่วยในการประชาสัมพันธ์ให้ความรู้ และให้คำปรึกษา  
  • ดูแลแบบองค์รวมโดยมีผู้ป่วยเป็นศูนย์กลาง มองเห็นทุกมิติที่อาจส่งผลต่ออาการเจ็บป่วย โดยผู้ป่วยมีส่วนร่วมในการค้นหาแนวทางการดูแลส่งเสริมสุขภาพ การป้องกัน การรักษาโรค นอกจากนี้ยังมองภาพรวมในระดับครอบครัวและชุมชนไปพร้อมกัน เช่น ความสัมพันธ์และปัญหาในครอบครัว วัฒนธรรม ความเชื่อ และศาสนา เพื่อให้เข้าใจภาพรวมทั้งหมดที่ส่งผลต่อสุขภาพของผู้ป่วยมากยิ่งขึ้น
  • ดูแลต่อเนื่องในทุกด้านและตลอดเส้นทางสุขภาพ ตั้งแต่การให้ความรู้ในการส่งเสริมสุขภาพและป้องกันโรคในตอนที่ยังไม่เจ็บป่วย การตรวจสุขภาพ การพบความเสี่ยง การรักษา และฟื้นฟูสุขภาพไม่ให้เสื่อมถดถอยหรือพิการ รวมถึงการให้คำแนะนำในการดูแลตัวเองเพื่อสุขภาพดีที่ยั่งยืน
  • มีระบบการปรึกษาและส่งต่อไปยังผู้เชี่ยวชาญในด้านต่างๆ ที่เหมาะสม ทำงานอย่างเชื่อมโยงกับระบบบริการทางการแพทย์ในระดับอื่นๆ เพื่อให้การรักษาเป็นไปอย่างราบรื่นและมีประสิทธิภาพ
ความสำคัญของ Primary Care ต่อระบบสุขภาพและระบบสาธารณสุขไทย

ปฏิเสธไม่ได้ว่าระบบการแพทย์ไทยในปัจจุบันมีลักษณะพึ่งพาโรงพยาบาลเป็นหลัก เมื่อเจ็บป่วยหรือมีปัญหาสุขภาพ ไม่ว่าจะเบาหรือหนัก คนส่วนมากมักเลือกไปโรงพยาบาลไว้ก่อน ยิ่งโรงพยาบาลใหญ่ที่มีหมอเฉพาะทางหลากหลายด้านยิ่งดี ผลที่ตามมาก็คือปัญหาคนไข้ล้นโรงพยาบาล ต้องรอคิวนาน คุณภาพและความพึงพอใจต่อการบริการลดลงเนื่องจากความเร่งรีบและเวลาในการปรึกษาหมอที่สั้นลง 

ในความเป็นจริง หมอในระบบ Primary Care ซึ่งได้แก่ หมอเวชศาสตร์ครอบครัว และหมอเวชปฏิบัติทั่วไป เป็นหมอที่มีความเชี่ยวชาญไม่น้อยไปกว่าหมอเฉพาะทาง แต่เป็นความเชี่ยวชาญในลักษณะรอบด้าน สามารถให้การตรวจรักษาเบื้องต้นได้ทุกโรค

นอกจากนี้ยังมีทักษะในการเข้าถึงประชาชนและการดูแลสุขภาพแบบองค์รวม ที่เป็นการส่งเสริม ป้องกัน รักษา และดูแลสุขภาพอย่างต่อเนื่อง โดยเน้นดูแลที่คน ในทุกมิติที่ส่งผลต่อสุขภาพ ทั้งด้านสังคม สิ่งแวดล้อม และไลฟ์สไตล์ ไม่ใช่แค่อาการเจ็บป่วยทางกายและทางใจเท่านั้น 

ปัญหาสำคัญที่ควรต้องผลักดันและแก้ไขในปัจจุบัน คือยังไม่มีการปรับใช้ระบบดูแลสุขภาพที่เป็นฐานหลักอย่าง Primary Care ในวงกว้างเท่าที่ควร ทำให้ประชาชนจำนวนมากขาดการได้รับการดูแลสุขภาพแบบองค์รวม

ในขณะเดียวกัน หมอเฉพาะโรคในโรงพยาบาลก็กลายมาเป็นฐานหลักโดยไม่จำเป็น ทั้งๆ ที่ผู้เชี่ยวชาญเฉพาะทางเหล่านี้มีหน้าที่รับผู้ป่วยที่ส่งต่อจากหมอ Primary Care หรือผู้ป่วยที่มีอาการรุนแรงและต้องรับการรักษาอย่างฉุกเฉิน โดยเน้นดูแลรักษาแบบแยกส่วน ตามโรค ตามอวัยวะที่มีปัญหาเท่านั้น 

พรีโมแคร์ มุ่งมั่นสร้างรากฐานสุขภาพที่แข็งแรงไปพร้อมคนไทย

พรีโมแคร์ เมดิคอล คลินิก (PrimoCare Medical Clinic) มองเห็นความสำคัญและทิศทางของระบบสุขภาพไทยที่ต้องมีการเปลี่ยนแปลงโดยเน้นรากฐานที่แข็งแรงตามหลักบริการปฐมภูมิ เราพร้อมเริ่มต้นก้าวแรกในการดูแลสุขภาพแบบองค์รวมที่มีผู้ป่วยเป็นศูนย์กลาง มอบการดูแลใส่ใจในทุกมิติของความเป็นมนุษย์ เป็นเพื่อนร่วมทางที่คุณสามารถไว้วางใจให้ดูแลสุขภาพในทุกๆ ด้านอย่างต่อเนื่องตลอดทั้งชีวิต โดยมีเป้าหมายที่จะร่วมเป็นส่วนหนึ่งในการช่วยผลักดันระบบบริการสุขภาพเพื่อคนไทยที่มั่นคงและยั่งยื

Reference

บทความที่เกี่ยวข้อง

Categories
Uncategorized

Q&A ถามตอบเรื่องน่ารู้เกี่ยวกับวัคซีนไข้หวัดใหญ่

    /    บทความ    /    Q&A ถามตอบเรื่องน่ารู้เกี่ยวกับวัคซีนไข้หวัดใหญ่

Q&A ถามตอบเรื่องน่ารู้เกี่ยวกับวัคซีนไข้หวัดใหญ่

Q&A ถามตอบเรื่องน่ารู้เกี่ยวกับวัคซีนไข้หวัดใหญ่

วัคซีนไข้หวัดใหญ่ ใครควรฉีด คนท้องฉีดได้ไหม มีผลข้างเคียงอะไรบ้าง ฉีดตอนไหนดีที่สุด ป้องกันโรคไข้หวัดใหญ่ได้นานแค่ไหน

ไข้หวัดใหญ่เป็นโรคที่มีอาการคล้ายโรคหวัดทั่วไป แต่มีโอกาสเกิดอาการรุนแรงและภาวะแทรกซ้อนที่อันตรายได้มากกว่า โดยจากการคาดการณ์ของหน่วยงานป้องกันโรคติดต่อในสหรัฐอเมริกา ในแต่ละปีโรคไข้หวัดใหญ่เป็นสาเหตุของการเสียชีวิตถึงประมาณ 2.9-6.5 แสนคนทั่วโลก ด้วยเหตุนี้แพทย์จึงแนะนำให้ทุกคนรับการฉีดวัคซีนไข้หวัดใหญ่เป็นประจำทุกปี เพื่อป้องกันตัวเองและคนรอบข้างจากการติดเชื้อและช่วยลดความรุนแรงของโรค

วัคซีนไข้หวัดใหญ่ช่วยป้องกันได้แค่ไหน ควรฉีดเมื่อไหร่ ฉีดได้ทุกคนหรือไม่? พรีโมแคร์ เมดิคอล คลินิก ชวนคุณมาไขข้อข้องใจเกี่ยวกับการฉีดวัคซีน เตรียมพร้อมเพิ่มภูมิคุ้มกันต่อสู้เชื้อไข้หวัดใหญ่ประจำปีนี้

Q: วัคซีนไข้หวัดใหญ่ช่วยป้องกันการติดเชื้อได้อย่างไร?

A: วัคซีนไข้หวัดใหญ่ทำจากเชื้อไวรัสที่ไม่สามารถก่อให้เกิดการติดเชื้อได้แล้ว โดยจะช่วยกระตุ้นให้ร่างกายสร้างภูมิคุ้มกันขึ้นมาต่อสู้กับเชื้อไวรัสไข้หวัดใหญ่เมื่อมีการสัมผัสเชื้อในอนาคต

Q: ทำไมต้องฉีดวัคซีนไข้หวัดใหญ่ทุกปี?

A: ภูมิคุ้มกันจากวัคซีนจะค่อยๆ ลดลงเมื่อเวลาผ่านไป ประกอบกับสายพันธุ์ของเชื้อไวรัสไข้หวัดใหญ่ที่ระบาดในแต่ละปีจะเปลี่ยนแปลงไปเรื่อยๆ จึงต้องมีการอัปเดตวัคซีนไข้หวัดใหญ่เพื่อปรับเปลี่ยนส่วนประกอบให้มีประสิทธิภาพในการป้องกันสายพันธุ์ของปีนั้นๆ มากขึ้น แน่นอนว่ามีโอกาสที่คุณจะสัมผัสและติดเชื้อไข้หวัดใหญ่สายพันธุ์อื่นที่ไม่ใช่ส่วนประกอบหลักของวัคซีนได้ แต่การฉีดวัคซีนก็ยังจำเป็นและมีประโยชน์ในการช่วยลดความรุนแรงจากการติดเชื้อได้อยู่ดี

Q: ใครบ้างที่ควรฉีดวัคซีนไข้หวัดใหญ่?

A: ทุกคนที่มีอายุตั้งแต่ 6 เดือนขึ้นไป ควรรับการฉีดวัคซีนไข้หวัดใหญ่เป็นประจำทุกปี โดยเฉพาะกลุ่มที่เสี่ยงเกิดอาการรุนแรงหรือมีภาวะแทรกซ้อนจากการติดเชื้อไข้หวัดใหญ่ ดังต่อไปนี้

  • หญิงตั้งครรภ์
  • เด็กอายุ 6 เดือน ถึง 2 ปี
  • ผู้ที่มีอายุมากกว่า 65 ปีขึ้นไป
  • ผู้ป่วยโรคเรื้อรัง ได้แก่ ปอดอุดกั้นเรื้อรัง หอบหืด หัวใจ หลอดเลือดสมอง ไตวาย เบาหวาน และผู้ป่วยมะเร็งที่อยู่ในระหว่างการรับเคมีบำบัด 
  • ผู้พิการทางสมองที่ช่วยเหลือตัวเองไม่ได้
  • ผู้ป่วยโรคธาลัสซีเมีย และผู้ที่มีภูมิคุ้มกันบกพร่อง
  • ผู้ที่มีน้ำหนักตั้งแต่ 100 กก. ขึ้นไป
  • บุคลากรทางการแพทย์และเจ้าหน้าที่สาธารณสุขที่ทำงานใกล้ชิดผู้ป่วย

กลุ่มเสี่ยงข้างต้นสามารถสอบถามกับทางอาสาสมัครสาธารณสุขประจำหมู่บ้าน (อสม.) เพื่อจองคิวนัดหมายฉีดวัคซีนไข้หวัดใหญ่ฟรี โดยจะเปิดจองในช่วงประมาณเดือนกุมภาพันธ์-เมษายนของทุกปีทางช่องทางต่างๆ ได้แก่ หน่วยบริการสุขภาพประจำชุมชน สายด่วน 1330 (กด 1 และกด 8) กระเป๋าสุขภาพในแอปพลิเคชันกระเป๋าตัง หรือทางแอปพลิเคชัน LINE @UCBKK กรณีอาศัยอยู่ในกทม. หรือมีสิทธิบัตรทอง

Q: ใครที่ไม่ควรฉีดวัคซีนไข้หวัดใหญ่?

A: บุคคลต่อไปนี้ไม่ควรฉีดวัคซีนไข้หวัดใหญ่

  • เด็กอายุน้อยกว่า 6 เดือน ซึ่งหากคุณแม่ฉีดวัคซีนไข้หวัดใหญ่ขณะตั้งครรภ์ เด็กก็จะมีภูมิคุ้มกันต่อโรคไข้หวัดใหญ่ในช่วงนี้
  • ผู้ที่เคยมีอาการแพ้วัคซีนไข้หวัดใหญ่อย่างรุนแรง

บุคคลต่อไปนี้ควรแจ้งให้แพทย์ทราบก่อนฉีดวัคซีนทุกครั้ง

  • มีอาการแพ้ไข่ไก่อย่างรุนแรง เพราะวัคซีนไข้หวัดใหญ่บางชนิดอาจทำมาจากไข่ไก่ 
  • มีประวัติเป็นโรค GBS (Guillain-Barré Syndrome)
  • มีไข้ รู้สึกไม่สบาย เจ็บป่วยเฉียบพลัน หรือมีโรคประจำตัวที่อาการกำเริบหรือยังควบคุมไม่ได้ ซึ่งแพทย์อาจแนะนำให้เลื่อนการฉีดวัคซีนไปก่อน
Q: วัคซีนไข้หวัดใหญ่ช่วยป้องกันได้แค่ไหน?

A: เชื้อไวรัสไข้หวัดใหญ่เป็นเชื้อที่ติดต่อและแพร่กระจายได้ง่าย การฉีดวัคซีนไม่เพียงช่วยลดความเสี่ยงในการติดเชื้อ แต่ยังป้องกันอาการรุนแรงที่อาจทำให้ต้องเข้ารักษาตัวในโรงพยาบาล และลดอัตราการเสียชีวิต ทั้งยังช่วยปกป้องคนรอบข้างจากการได้รับเชื้อ โดยเฉพาะผู้ที่ไม่สามารถฉีดวัคซีนและผู้ที่มีความเสี่ยงในการเกิดอาการรุนแรงหรือเกิดภาวะแทรกซ้อนที่อันตรายหากติดเชื้อไข้หวัดใหญ่

Q: ฉีดแล้วป้องกันได้ทันทีหรือไม่?

A: หลังจากฉีดวัคซีนแล้วยังต้องรอเวลาให้ร่างกายสร้างภูมิคุ้มกันขึ้นมาต่อสู้โรคอย่างเต็มที่ ประมาณ 2 สัปดาห์ 

Q: ควรฉีดเมื่อไหร่?

A: สามารถฉีดวัคซีนไข้หวัดใหญ่ได้ตลอดปี แต่ถ้าจะให้ดีควรฉีดก่อนช่วงที่เริ่มมีการระบาด คือ ช่วงก่อนฤดูฝนในเดือนพฤษภาคม และก่อนฤดูหนาวในเดือนตุลาคม

Q: ฉีดวัคซีน 2 ครั้งในปีเดียวกัน ช่วยเพิ่มภูมิคุ้มกันได้หรือไม่?

A: การฉีดวัคซีนก่อนฤดูแพร่ระบาดของเชื้อไข้หวัดใหญ่ปีละ 1 ครั้งนั้นเพียงพอแล้ว และจากการศึกษาทางวิทยาศาสตร์ไม่พบว่าการฉีดวัคซีนไข้หวัดใหญ่มากกว่าปีละ 1 ครั้งในช่วงการแพร่ระบาดเดียวกันจะช่วยป้องกันได้มากกว่าเดิม เว้นแต่เป็นการฉีดในเด็กอายุต่ำกว่า 9 ปีที่ได้รับวัคซีนไข้หวัดใหญ่เป็นปีแรกเท่านั้น ซึ่งจะแนะนำให้ฉีด 2 เข็ม โดยเว้นระยะเข็มที่ 2 จากเข็มแรก 4 สัปดาห์

Q: ผลข้างเคียงจากการฉีดวัคซีนมีอะไรบ้าง?

A: วัคซีนไข้หวัดใหญ่มีความปลอดภัยสูง อาการข้างเคียงจากการฉีดวัคซีนส่วนใหญ่จะไม่รุนแรงและหายไปได้เองใน 1-2 วัน โดยอาการที่พบได้บ่อย ได้แก่ มีไข้ต่ำ ปวดเมื่อยกล้ามเนื้อ และปวดบริเวณรอบๆ ที่ฉีดวัคซีน เนื่องจากเป็นการฉีดเข้ากล้ามเนื้อบริเวณต้นแขน 

เพื่อลดอาการปวดแนะนำให้หมั่นขยับและเคลื่อนไหวแขนตามปกติ หากมีอาการปวดมากสามารถรับประทานยาแก้ปวดได้ ทั้งนี้ สตรีมีครรภ์ควรปรึกษาแพทย์ก่อนรับประทานยาทุกครั้ง

Q: สังเกตอาการแพ้วัคซีนอย่างไร?

A: อาการแพ้รุนแรง (Anaphylaxis) จากการฉีดวัคซีนไข้หวัดใหญ่นั้นพบได้น้อยมาก ส่วนมากหลังฉีดวัคซีนแพทย์หรือพยาบาลจะแนะนำให้นั่งรอสังเกตอาการข้างเคียงหรืออาการแพ้เป็นเวลาอย่างน้อย 30 นาที หากมีสัญญาณของการแพ้ ได้แก่ อาการบวมที่ใบหน้า ริมฝีปาก ลำคอ มีผื่นลมพิษขึ้นตามตัว หายใจลำบาก หัวใจเต้นเร็วผิดปกติ วิงเวียนศีรษะ ควรรีบแจ้งให้แพทย์ทราบทันที

Q: การฉีดวัคซีนไข้หวัดใหญ่ทำให้ติดเชื้อไข้หวัดใหญ่ได้หรือไม่?

A: วัคซีนไข้หวัดใหญ่ทำจากไวรัสที่ตายแล้ว ซึ่งไม่สามารถก่อให้เกิดโรคได้ จึงไม่ต้องกังวลว่าจะทำให้เกิดการติดเชื้อไข้หวัดใหญ่แต่อย่างใด โดยอาการไข้อ่อนๆ หรืออาการปวดกล้ามเนื้อที่เกิดขึ้นหลังฉีดวัคซีนเป็นสัญญาณทั่วไปที่บ่งบอกว่าร่างกายของคุณกำลังสร้างภูมิคุ้มกันขึ้นมาต่อสู้โรคนั่นเอง

Q: ฉีดวัคซีนไข้หวัดใหญ่ช่วยป้องกันโรคโควิด-19 ได้หรือไม่?

A: โรคไข้หวัดใหญ่และโรคโควิด-19 เกิดจากการติดเชื้อไวรัสต่างชนิดกัน การฉีดวัคซีนไข้หวัดใหญ่จึงไม่สามารถป้องกันการติดเชื้อโรควิด-19 ได้ และมีความเป็นไปได้ที่คุณจะติดเชื้อไข้หวัดใหญ่และเชื้อโควิด-19 พร้อมกัน ซึ่งมีแนวโน้มทำให้อาการรุนแรงยิ่งขึ้น การฉีดวัคซีนไข้หวัดใหญ่ป้องกันไว้จึงเป็นทางเลือกที่ดี โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อยังไม่ได้รับการฉีดวัคซีนโควิด-19 นอกจากนี้ยังถือเป็นการช่วยแบ่งเบาภาระของระบบสุขภาพ ทั้งบุคลากรทางการแพทย์และจำนวนเตียงในโรงพยาบาล ที่ในขณะนี้ต้องแบ่งมาดูแลผู้ป่วยโควิด-19 เป็นจำนวนมากอีกด้วย 

Q: ฉีดวัคซีนไข้หวัดใหญ่พร้อมวัคซีนโควิด-19 ได้ไหม?

A: ไม่แนะนำให้ฉีดวัคซีนทั้งสองชนิดพร้อมกัน เนื่องจากขณะนี้ยังไม่มีหลักฐานด้านประสิทธิภาพและความปลอดภัย กรมควบคุมโรค กระทรวงสาธารณสุข แนะนำว่าควรเว้นระยะห่างการฉีดวัคซีน 2 ชนิดนี้เป็นเวลาอย่างน้อย 2-4 สัปดาห์ โดยหลังจากฉีดวัคซีนโควิด-19 ครบแล้ว ควรรออย่างน้อย 2-4 สัปดาห์ ก่อนจะรับวัคซีนไข้หวัดใหญ่ หรือหากฉีดวัคซีนไข้หวัดใหญ่ก่อน ก็ควรรออย่างน้อย 2-4 สัปดาห์ ก่อนจะเริ่มฉีดวัคซีนโควิด-19 

โรคโควิด-19 และไข้หวัดใหญ่สามารถป้องกันไปพร้อมกัน ยิ่งฝนตก อากาศชื้นแบบนี้ ยิ่งวางใจไม่ได้

อุ่นใจไว้ก่อน ปกป้องตัวคุณเองและคนที่คุณรักจากไข้หวัดใหญ่ได้ตั้งแต่วันนี้ สอบถามและนัดหมายฉีดวัคซีนไข้หวัดใหญ่ประจำปีกับทีมแพทย์ของเราได้เลยที่นี่ 

Reference

บทความที่เกี่ยวข้อง