ฝุ่น PM 2.5: ผลกระทบต่อสุขภาพ และวิธีการป้องกันตัวเอง
ฝุ่น PM 2.5:ผลกระทบต่อสุขภาพ
และวิธีการป้องกันตัวเอง
ค่าฝุ่น PM 2.5 ที่พุ่งสูงในระดับที่เป็นอันตรายต่อสุขภาพกลับมาเยือนในช่วงเดือนธันวาคม-เมษายนของทุกปี ซึ่งแม้จะกลายเป็นปัญหาที่หลายคนเคยชินไปแล้ว แต่ร่างกายของเราอาจไม่ได้คุ้นเคยกับเจ้าฝุ่นจิ๋วที่ส่งผลกระทบต่อสุขภาพทั้งในระยะสั้นและระยะยาวนี้ ลองมาเช็คกันดูว่าคุณกำลังมีสัญญาณเตือนภัยสุขภาพจากฝุ่นละออง PM 2.5 หรือไม่ และจะมีวิธีป้องกันตัวเองอย่างไรได้บ้าง
ฝุ่น PM 2.5 คืออะไร?
ตัวอักษร PM มาจากคำว่า Particulate Matter ซึ่งเป็นคำเรียกของอนุภาคของแข็งและหยดของเหลวในอากาศที่มีทั้งอนุภาคขนาดใหญ่ที่มองเห็นได้ด้วยตาเปล่า เช่น ฝุ่น ผง ขี้เถ้า ควัน และอนุภาคขนาดเล็กอีกมากมายที่ไม่อาจมองเห็นได้ด้วยตาเปล่า
ฝุ่นมลพิษ PM ที่สามารถเข้าสู่ร่างกายมนุษย์ผ่านการหายใจ แบ่งเป็น 2 ขนาด คือ
- PM 10 ที่มีเส้นผ่าศูนย์กลางไม่เกิน 10 ไมครอน และ
- PM 2.5 ที่มีเส้นผ่าศูนย์กลางไม่เกิน 2.5 ไมครอน
PM 2.5 (Fine Particulate matter) เป็นอนุภาคที่มีขนาดเล็กมาก เล็กกว่าเส้นผมของมนุษย์ประมาณ 30 เท่า โดยหากนำมารวมกันในหลายพันอนุภาค อาจมองเห็นเท่ากับเครื่องหมายจุด (.) เท่านั้น โดยเมื่อมี PM 2.5 ลอยตัวอยู่ในอากาศปริมาณมากจะดูคล้ายหมอกเทาปกคลุม ซึ่งมักเกิดขึ้นในวันที่สภาพอากาศที่ค่อนข้างนิ่ง ไม่มีลม จึงทำให้เกิดการสะสมของฝุ่นได้มากกว่าปกติ
ผลกระทบของ ฝุ่น PM 2.5 ต่อสุขภาพ
ด้วยขนาดที่เล็กมาก ทำให้ PM 2.5 สามารถเข้าสู่ร่างกายผ่านระบบทางเดินหายใจไปยังปอดได้อย่างง่ายดาย และยังมีบางส่วนหลุดไปในกระแสเลือด ด้วยเหตุนี้จึงอาจส่งผลต่อสุขภาพตามมาทั้งในระยะสั้นและยาวได้
ผลกระทบระยะสั้น
- ก่อการระคายเคืองต่อดวงตาและระบบทางเดินหายใจ เช่น จมูก ลำคอ รวมถึงปอด
- มีอาการไอ จาม เจ็บคอ น้ำมูกไหล
- หายใจลำบาก เหนื่อยง่าย
- อาจทำให้อาการของโรคที่เป็นอยู่แล้วกำเริบหรือแย่ลง เช่น โรคหอบหืด โรคหัวใจ
ผลกระทบระยะยาว
มีการศึกษาจำนวนมากชี้ว่าการสูดดมฝุ่นละออง PM 2.5 เป็นเวลานานสามารถส่งผลต่อสุขภาพปอดและหัวใจในภายหลัง
- เพิ่มอัตราการเกิดโรคหลอดลมอักเสบชนิดเรื้อรัง
- ส่งผลให้ปอดทำงานได้ไม่เต็มประสิทธิภาพ
- เพิ่มความเสี่ยงให้เกิดโรคกล้ามเนื้อหัวใจขาดเลือด (nonfatal heart attack) และภาวะหัวใจเต้นผิดปกติ
- เพิ่มอัตราการเสียชีวิตจากโรคมะเร็งปอดและโรคหัวใจ
- เพิ่มอัตราการเสียชีวิตก่อนวัยอันควรในผู้ที่มีโรคปอดหรือโรคหัวใจ
ปัญหาเหล่านี้จะยิ่งน่าวิตกในกลุ่มคนที่มีความเสี่ยงสูงอยู่แล้ว เช่น ผู้ที่มีปัญหาเกี่ยวกับการหายใจ โรคปอด โรคหัวใจ รวมถึงเด็กๆ และผู้สูงอายุ ซึ่งเป็นกลุ่มที่ร่างกายมักมีปฏิกิริยาตอบสนองต่อฝุ่นจิ๋วไวกว่าคนกลุ่มอื่น
PM 2.5 เกิดจากอะไร?
หากเดินตามท้องถนน เราจะได้รับฝุ่นละอองที่ลอยสะสมอยู่ในอากาศจากแหล่งกำเนิดต่างๆ โดยตรง เช่น ควันจากท่อไอเสียรถยนต์ รถบรรทุก และรถสาธารณะ การก่อสร้างถนนตึกรางบ้านช่อง และกระบวนการใดๆ ก็ตามที่เกิดการเผาไหม้เชื้อเพลิงจำพวกไม้ ถ่าน น้ำมันเครื่อง ใบไม้ ใบหญ้า รวมไปถึงภัยพิบัติทางธรรมชาติอย่างไฟป่าหรือภูเขาไฟระเบิดที่ลมอาจหอบฝุ่นละอองจำนวนมากไปยังพื้นที่ใกล้เคียงจนค่า PM 2.5 ในอากาศเพิ่มสูง
นอกจากนี้ ฝุ่น PM ยังมักเป็นผลมาจากปฏิกิริยาของก๊าซต่างๆ ในชั้นบรรยากาศ เช่น ก๊าซซัลเฟอร์ไดออกไซด์ที่ทำปฏิกิริยากับไนโตรเจนออกไซด์ ซึ่งเป็นมลพิษทางอากาศที่ปล่อยมาจากโรงไฟฟ้า โรงงานอุตสาหกรรม และรถยนต์บนท้องถนน ซึ่งฝุ่นที่ลอยอยู่ในชั้นบรรยากาศเหล่านี้สามารถเคลื่อนตัวจากแหล่งกำเนิดไปยังพื้นที่ที่ห่างออกไปหลายร้อยกิโลเมตรด้วยการพัดพาของลม
ฝุ่น PM 2.5อาจเกิดขึ้นจากแหล่งกำเนิดในบ้านหรืออาคารจากกิจกรรมบางอย่างได้เช่นกัน ได้แก่ ควันบุหรี่ การจุดไฟทำอาหาร การจุดธูปเทียน เทียนหอม และตะเกียงน้ำมัน เป็นต้น รวมถึงฝุ่นละอองนอกบ้านที่ลอยเข้ามาในบ้านก็สามารถทำให้ความเข้มข้นของฝุ่น PM 2.5 เพิ่มสูงขึ้น
ค่าฝุ่น pm 2.5 ในแต่ละวันบอกอะไร?
การออกกำลังกายหรือทำกิจกรรมกลางแจ้งในช่วงที่ค่าดัชนี PM 2.5 พุ่งสูงเป็นสิ่งที่พึงระมัดระวัง เพราะอัตราการหายใจที่เพิ่มขึ้นเร็วกว่าปกติจะทำให้ได้รับมลพิษในปริมาณที่มากขึ้น โดยเฉพาะกลุ่มเสี่ยงอย่างผู้ป่วยโรคหอบหืด โรคหัวใจ โรคปอด รวมถึงเด็กเล็กและผู้สูงอายุ ที่เสี่ยงได้รับผลกระทบจากการสูดดม PM2.5มากกว่าคนทั่วไป
การตรวจเช็คค่าดัชนีอากาศก่อนออกจากบ้านอาจช่วยให้วางแผนการออกกำลังกายนอกบ้านอย่างปลอดภัยและสบายใจมากขึ้น โดยสามารถเข้าไปเช็คค่าดัชนี PM2.5 (Air quality index: AQI) แบบเรียลไทม์ได้ที่ https://aqicn.org/search/ ซึ่งจะแสดงตัวเลขและระดับสีบ่งบอกคุณภาพอากาศขณะนั้น
ดัชนี คุณภาพอากาศ |
ความหมาย | ผลต่อสุขภาพ | ข้อควรระวัง |
0-50 | อากาศดี | คุณภาพอากาศดี ไม่มีหรือแทบไม่มีผลต่อสุขภาพ | |
51-100 | ปานกลาง | คุณภาพอากาศดีพอใช้ แต่อาจมีมลพิษบางอย่างที่ส่งผลต่อกลุ่มเสี่ยงที่ไวต่อมลพิษอากาศ | เด็ก หญิงตั้งครรภ์ ผู้สูงอายุ และผู้ที่มีโรคทางเดินหายใจ เช่น หอบหืด ควรลดการออกกำลังกายกลางแจ้งเป็นเวลานาน |
101-150 | ไม่ดีต่อกลุ่มเสี่ยง | อาจมีผลกระทบต่อกลุ่มเสี่ยง | เด็ก หญิงตั้งครรภ์ ผู้สูงอายุ และผู้ที่มีโรคทางเดินหายใจ เช่น หอบหืด ควรลดการออกกำลังกายกลางแจ้งเป็นเวลานาน |
151-200 | ไม่ดีต่อสุขภาพ | เริ่มมีผลกระทบต่อคนทั่วไป กลุ่มเสี่ยงอาจยิ่งมีอาการรุนแรงขึ้น | – กลุ่มเสี่ยงควรเลี่ยงการออกกำลังกาย/กิจกรรมกลางแจ้งเป็นเวลานาน
– ผู้ที่มีสุขภาพดี ควรลดการออกกำลังกายกลางแจ้งเป็นเวลานาน |
201-300 | ไม่ดีต่อสุขภาพอย่างมาก | ส่งผลกระทบต่อกลุ่มเสี่ยงและผู้มีสุขภาพดีมากขึ้น | – กลุ่มเสี่ยงควรเลี่ยงการออกกำลังกายกลางแจ้งทุกชนิด
– ผู้ที่มีสุขภาพดี ควรลดการออกกำลังกายกลางแจ้ง |
300+ | อันตราย | ทุกคนเสี่ยงได้รับผลกระทบทางสุขภาพที่ร้ายแรงมากขึ้น | ทุกคนควรเลี่ยงการออกกำลังกายกลางแจ้งทุกชนิด |
วิธีป้องกันตัวเอง รับมือฝุ่น PM 2.5
ในช่วงที่มีฝุ่นพิษและมีค่า PM 2.5 ในอากาศสูง เราสามารถป้องกันตัวเองตามคำแนะนำต่อไปนี้
- ดื่มน้ำให้มาก และใช้น้ำเกลือหรือน้ำสะอาดกลั้วคอแล้วบ้วนทิ้ง วันละ 3-4 รอบ
- หลีกเลี่ยงการออกกำลังกายและกิจกรรมกลางแจ้งที่ต้องออกแรงมาก
- สวมหน้ากากอนามัยชนิดกรองฝุ่น PM 2.5 เมื่อต้องออกจากบ้าน
- ผู้มีโรคประจำตัว เช่น โรคหัวใจ โรคหอบหืด โรคปอด ควรพกยาและอุปกรณ์ที่จำเป็นติดตัว
การลดฝุ่น PM 2.5 ที่อาจสะสมในบ้าน
- ปิดประตูหน้าต่างไม่ให้ฝุ่นมลพิษจากภายนอกเข้ามาในบ้านหรืออาคาร
- งดสูบบุหรี่ และไม่ควรสูบภายในบ้าน
- งดทำอาหารประเภทปิ้งย่างที่ก่อให้เกิดควัน และควรติดตั้งเครื่องดูดควันเหนือเตาทำอาหาร
- งดจุดเทียนหอม ธูปเทียน การจุดไฟเผาขยะ ใบไม้
- เปิดหน้าต่างระบายฝุ่นพิษภายในบ้านในวันที่ค่าดัชนีอากาศดี
- ปลูกต้นไม้สูงรอบบ้านช่วยกรองอากาศและดูดฝุ่นพิษได้
- ใช้เครื่องกรองอากาศภายในบ้านช่วยลดระดับ PM 2.5
- หากมีอาการจากการสูดดมฝุ่นควันที่ผิดปกติ เช่น หายใจไม่ออก แสบหรือระคายเคืองที่ตา ควรรีบมาพบแพทย์
การร่วมมือกันของภาคประชาชน
การลดมลพิษในอากาศและฝุ่นพิษ PM 2.5 เป็นเรื่องที่ต้องได้รับการสนับสนุนจากภาครัฐในการควบคุมการปล่อยมลพิษจากโรงไฟฟ้าและโรงงานอุตสาหกรรม รวมถึงการออกนโยบายและกฎหมายเพื่อผลักดันให้ลดการสร้างมลพิษในอากาศจากทุกภาคส่วนอย่างจริงจัง ซึ่งปัจจุบันยังไม่มีการออกกฎเกณฑ์ที่บังคับใช้อย่างเป็นรูปธรรมเพื่อการควบคุมมลพิษที่ยั่งยืนเท่าไรนัก
ส่วนทางด้านประชาชน เราสามารถร่วมแรงกันงดก่อมลพิษ ดังนี้
- สำหรับผู้ใช้รถ ควรใช้น้ำมันที่ไร้สารตะกั่วสำหรับเครื่องยนต์เบนซิน และใช้น้ำมันดีเซลกลั่นอุณหภูมิต่ำสำหรับเครื่องยนต์ดีเซล หมั่นเปลี่ยนน้ำมันเครื่อง และติดตั้งอุปกรณ์กรองไอเสียจากรถยนต์
- ลดการใช้รถยนต์ส่วนตัวเท่าที่ทำได้ และหันมาเดินทางด้วยระบบขนส่งสาธารณะที่สร้างมลพิษน้อยกว่า
- นำพืชผักและเศษอาหารที่เหลือกินเหลือใช้มาทำปุ๋ยหมักชีวภาพ ลดการเผาทำลาย
- สนับสนุนให้เกษตรกรประยุกต์ใช้ระบบเกษตรแบบผสมผสาน แทนการปลูกพืชชนิดเดียวที่มักต้องเผาทำลายเป็นจำนวนมาก
- รวบรวมวัสดุเหลือใช้ไปส่งต่อหรือบริจาคแทนการทิ้งหรือเผาทำลาย
- ลด ละ เลิก การใช้อุปกรณ์ที่มีสารประกอบที่ก่อให้เกิดภาวะเรือนกระจก เช่น สารคลอโรฟลูออโรคาร์บอน (CFC) และสารไฮโดรฟลูโอ-คาร์บอน (HCFC)
พรีโมแคร์ เมดิคอล คลินิก ดูแลรอบด้าน ทุกองค์ประกอบสุขภาพ
สอบถามข้อมูลเพิ่มเติม หรือนัดหมายล่วงหน้าที่ @primocare
โทร 02-038-5595, 082-527-9924
คลิกดูหลากหลายบริการของเราที่นี่
- ชีวิตติดฝุ่นอันตราย (PM 2.5 และหมอกควัน). (resourcecenter.thaihealth.or.th/files/66/Thaihealth%20watch_ชีวิตติดฝุ่นอันตราย.pdf)(https://www.epa.gov/pm-pollution/particulate-matter-pm-basics)
- Indoor air pollution. (https://www.health.nsw.gov.au/environment/air/Pages/indoor-air-pollution.aspx)
- Air Quality Index Scale and Color Legend. (https://aqicn.org/scale/)
- Image: Background photo created by rawpixel.com – www.freepik.com