/    บทความ    /    คู่มือวัคซีนโควิด-19 ตอบข้อสงสัย เตรียมพร้อมก่อนฉีดวัคซีน

คู่มือวัคซีนโควิด-19 ตอบข้อสงสัย เตรียมพร้อมก่อนฉีดวัคซีน

คู่มือวัคซีนโควิด-19
ตอบข้อสงสัย เตรียมพร้อมก่อนฉีดวัคซีน

หลากหลายคำถามเกี่ยวกับวัคซีนโควิด-19 มียี่ห้ออะไรบ้าง ข้อมูลประสิทธิภาพ ความปลอดภัย วิธีรับมือผลข้างเคียง-อาการแพ้เบื้องต้น

ประเทศไทยเริ่มทยอยฉีดวัคซีนโควิด-19 ให้บุคลากรทางการแพทย์ด่านหน้าและกลุ่มผู้มีความเสี่ยงสูงไปแล้ว รวมทั้งตั้งเป้าฉีดวัคซีนให้ประชาชนในวงกว้างให้เร็วที่สุดเพื่อควบคุมการแพร่ระบาดในประเทศ ถ้าคุณมีคำถามเกี่ยวกับการฉีดวัคซีนโควิด-19 ที่ยังไม่ได้รับคำตอบ วันนี้เรารวบรวมข้อมูลน่ารู้เกี่ยวกับการฉีดวัคซีนจากคุณหมอที่ พรีโมแคร์ เมดิคอล คลินิก มาเป็นคู่มือฉบับย่อให้คุณอุ่นใจก่อนฉีดวัคซีน

วัคซีนช่วยป้องกันการติดเชื้อได้อย่างไร?

เมื่อร่างกายของเราสัมผัสเชื้อโรคใดๆ ก็ตาม จะมีการสร้างภูมิคุ้มกันต่อต้านเชื้อโรคนั้นในครั้งต่อไป การฉีดวัคซีนเป็นการจำลองให้ร่างกายคิดว่าเกิดการติดเชื้อขึ้นโดยใช้เชื้อที่อ่อนแอหรือบางส่วนของเชื้อที่ไม่สามารถก่อให้เกิดโรคได้ ฉีดเข้าไปกระตุ้นให้ระบบภูมิคุ้มกันสร้างภูมิขึ้นมาต่อสู้โรคนั่นเอง

วัคซีนโควิด-19 มีกี่ชนิด?

วัคซีนโควิด-19 ที่ขึ้นทะเบียนและผ่านการอนุมัติจากอย. ไทยไปแล้วในตอนนี้ ได้แก่ วัคซีนของบริษัท AstraZeneca, Sinovac, Johnson & Johnson, Moderna, Sinopharm และ Pfizer

ทั้งนี้ วัคซีนแต่ละยี่ห้ออาจเป็นวัคซีนต่างชนิดกันและมีกลไกการทำงานเฉพาะตัว โดยหลักๆ มี 4 ชนิดดังต่อไปนี้

  • วัคซีนเชื้อตาย เป็นวัคซีนที่ทำจากเชื้อไวรัสที่ตายแล้วหรือทำให้อ่อนแอจนไม่สามารถทำให้เกิดโรคได้ แต่สามารถกระตุ้นภูมิคุ้มกันต่อเชื้อที่เป็นสาเหตุของโรคโควิด-19 ได้แก่ วัคซีนของบริษัท Sinovac, Sinopharm, และ Bharat Biotech
  • วัคซีนแบบใช้โปรตีน เป็นการใช้ส่วนประกอบของโปรตีนหรือเปลือกหุ้มโปรตีนที่มีความคล้ายคลึงกับไวรัสโควิด-19 เข้าไปช่วยกระตุ้นการสร้างภูมิคุ้มกันต่อโรค ได้แก่ วัคซีนของบริษัท Novavax
  • วัคซีนแบบเวกเตอร์ไวรัส ที่มีการดัดแปลงไวรัสที่ไม่สามารถก่อให้เกิดโรคได้มาเป็นตัวส่งโปรตีนไวรัสโควิด-19 เข้าไปสร้างภูมิคุ้มกันให้ร่างกาย ได้แก่ วัคซีนของ AstraZeneca, Johnson & Johnson และ Sputnik V
  • วัคซีน mRNA เป็นเทคโนโลยีการผลิตวัคซีนแบบใหม่ ทำงานโดยส่งส่วนประกอบทางพันธุกรรมของไวรัสเข้าไปสร้างโปรตีนที่กระตุ้นให้ร่างกายสร้างภูมิคุ้มกันไว้ต่อสู้ไวรัส ได้แก่ วัคซีนของ Pfizer และ Moderna

คำถามเกี่ยวกับการฉีดวัคซีนโควิด-19

Q: ใครบ้างที่ควรฉีดวัคซีน?
A: ผู้ที่มีอายุ 18 ปีขึ้นไปส่วนใหญ่สามารถรับการฉีดวัคซีนโควิดได้อย่างปลอดภัย ไม่เว้นแม้แต่ผู้ที่มีโรคประจำตัว เช่น โรคความดันโลหิตสูง เบาหวาน หอบหืด โรคปอด โรคตับ โรคไต โรคภูมิคุ้มกันทำร้ายตัวเอง และโรคติดเชื้อเรื้อรังที่ควบคุมอาการได้ดี 

ทั้งนี้ในกรณีที่วัคซีนมีจำนวนจำกัด เป้าหมายการฉีดวัคซีนจะมุ่งไปที่บุคลากรทางการแพทย์ด่านหน้า ผู้ที่เสี่ยงมีโอกาสสัมผัสโรคสูง ผู้สูงอายุ และผู้ที่มีโรคประจำตัวเป็นอันดับแรก

เพื่อความปลอดภัยบุคคลต่อไปนี้ควรปรึกษาหรือแจ้งให้แพทย์ทราบก่อนรับการฉีดวัคซีน

  • ผู้มีภูมิคุ้มกันบกพร่อง
  • หญิงที่กำลังตั้งครรภ์หรือให้นมบุตร
  • ผู้ที่เคยมีอาการแพ้รุนแรง

Q: เด็กฉีดวัคซีนโควิด-19 ได้หรือไม่?
A: เนื่องจากเด็กมีความเสี่ยงต่ออาการรุนแรงจากการติดเชื้อโควิด-19 น้อยกว่าผู้ใหญ่ การทดลองวัคซีนส่วนใหญ่จึงมุ่งเน้นไปที่ผู้ที่มีอายุ 18 ปีขึ้นไปเป็นอันดับแรก ทำให้วัคซีนที่มีในตอนนี้โดยมากจะแนะนำให้ฉีดในผู้ที่มีอายุ 18 ปีขึ้นไป 

วัคซีนโควิด-19 สำหรับเด็กในตอนนี้มีแค่วัคซีนของ Pfizer ที่ได้รับการอนุมัติจากหน่วยงานป้องกันโรคติดต่อและองค์การอาหารและยาของสหรัฐฯ ให้สามารถฉีดได้ตั้งแต่อายุ 12 ปีขึ้นไป ส่วนวัคซีนของ Moderna นั้นทางบริษัทก็ชี้ว่าผลการทดลองพบมีประสิทธิภาพสูงในเด็กอายุ 12-17 ปี ซึ่งน่าจะได้รับการอนุมัติให้ใช้ในเด็กเร็วๆ นี้เช่นกัน นอกจากนี้ ผู้ผลิตวัคซีนรายอื่นๆ ก็ได้เริ่มทดลองประสิทธิภาพและความปลอดภัยของการฉีดวัคซีนในเด็กไปบ้างแล้ว แต่ส่วนใหญ่ยังไม่ถึงขั้นที่จะยืนยันผลได้

Q: ฉีดวัคซีนเข็มแรก กับเข็มที่ 2 คนละชนิดได้หรือไม่? 
A: สำหรับวัคซีนที่ต้องมีการฉีดมากกว่า 1 เข็ม ปัจจุบันทางองค์การอนามัยโลก (WHO) ไม่แนะนำให้รับวัคซีนเข็มที่ 1 และเข็มที่ 2 ต่างชนิดหรือต่างยี่ห้อกัน โดยขณะนี้มีการศึกษาว่าการฉีดวัคซีนต่างชนิดในเข็มแรกและเข็มที่ 2 จะส่งผลต่อประสิทธิภาพและความปลอดภัยหรือไม่ แต่ยังอยู่ในขั้นตอนการทดลองที่ไม่สามารถให้ข้อสรุปได้

Q: ฉีดวัคซีนชนิดหนึ่งครบแล้ว ฉีดวัคซีนอื่นที่มีประสิทธิภาพสูงกว่าภายหลังได้ไหม?
A: กรณีที่รับวัคซีนโควิด-19 ชนิดใดชนิดหนึ่งครบโดสแล้ว แต่มีความกังวลเกี่ยวกับประสิทธิภาพและต้องการรับวัคซีนโควิด-19 ชนิดอื่นภายหลัง ซึ่งในสหรัฐอเมริกาเองก็มีประชาชนจำนวนหนึ่งที่ได้รับวัคซีน Johnson & Johnson แล้ว แต่มีความกังวลในประสิทธิภาพและผลข้างเคียง จึงต้องการฉีดกระตุ้นด้วยวัคซีนที่มีประสิทธิภาพสูงกว่าอย่าง Pfizer และ Moderna ในภายหลัง 

กรณีนี้ผู้เชี่ยวชาญได้ให้คำแนะนำว่า เนื่องจากวัคซีนแต่ละชนิดอาจต้องมีการอัปเดตเพิ่มประสิทธิภาพในทุกปีเหมือนวัคซีนไข้หวัดใหญ่ การฉีดกระตุ้นด้วยวัคซีนชนิดเดิมอาจฟังดูเข้าท่ามากกว่า แต่ก็น่าจะสามารถรับวัคซีนชนิดอื่นได้เช่นกันโดยไม่ส่งผลต่อประสิทธิภาพและไม่มีอันตรายใดๆ และมีข้อกังวลน้อยกว่าการฉีดวัคซีนเข็มที่ 1 และเข็มที่ 2 ต่างชนิดกันใน 1 โดส 

Q: เคยติดเชื้อโควิด-19 แล้ว ยังต้องฉีดไหม?
A: แม้ว่าคุณจะเคยติดเชื้อโรคโควิด-19 มาก่อน ก็ควรรับการฉีดวัคซีน เพราะแม้การติดเชื้อจะช่วยกระตุ้นให้ร่างกายของเราสร้างภูมิคุ้มกันต่อเชื้อชนิดนี้ในอนาคต แต่ภูมิคุ้มกันที่เกิดขึ้นเองโดยกลไกธรรมชาตินั้นอาจมีความแตกต่างกันไปในแต่ละคน ยากที่จะรู้ได้ว่าตัวเองมีภูมิคุ้มกันมากแค่ไหนและจะคงอยู่นานเท่าไหร่ จึงยังต้องอาศัยภูมิคุ้มกันจากการฉีดวัคซีนอยู่ดี

Q: ฉีดวัคซีนระหว่างที่ยังมีเชื้อโควิด-19 ได้หรือไม่?
A: ไม่ควรรับการฉีดวัคซีนหากคุณยังไม่หายจากการติดเชื้อดีและยังไม่ได้กักตัวหลังติดเชื้อครบกำหนด โดยคุณสามารถปรึกษาแพทย์ที่ทำการรักษาเกี่ยวกับเวลาที่เหมาะสมที่สามารถรับวัคซีนโควิด-19 

Q: ฉีดวัคซีนโควิด-19 พร้อมกับวัคซีนโรคอื่นได้หรือไม่?
A: จากข้อมูลในตอนนี้ ยังไม่แนะนำให้ฉีดวัคซีนอื่นพร้อมกัน โดยกรมควบคุมโรค กระทรวงสาธารณสุข แนะนำว่าหลังจากฉีดวัคซีนโควิด-19 ครบทั้ง 2 เข็มแล้ว ควรรออย่างน้อย 2-4 สัปดาห์ ก่อนจะฉีดวัคซีนชนิดอื่น หรือหากฉีดวัคซีนสำหรับป้องกันโรคอื่นมาก่อนหน้า ก็ควรรออย่างน้อย 2-4 สัปดาห์ ก่อนจะรับการฉีดวัคซีนโควิด-19 เช่นกัน 

แต่ในกรณีที่คุณฉีดวัคซีน 2 ชนิดโดยไม่ได้เว้นระยะห่าง 2-4 สัปดาห์ไปแล้ว ก็ไม่จำเป็นต้องเริ่มต้นฉีดวัคซีนใหม่ ขอแค่ตรวจเช็กให้มั่นใจว่าได้ฉีดวัคซีนครบโดสตามที่กำหนด

ประสิทธิภาพการป้องกันโรคของวัคซีนโควิด-19

Q: วัคซีนโควิด-19 ช่วยป้องการติดเชื้อได้ 100% หรือไม่?
A: ไม่มีวัคซีนใดที่มีประสิทธิภาพในการป้องกัน 100% ดังนั้น แม้จะได้รับวัคซีนครบทั้ง 2 เข็มแล้ว บางคนอาจติดเชื้อและมีอาการจากโรคได้อยู่ดี แต่การฉีดวัคซีนจะช่วยปกป้องคุณจากอาการรุนแรง การเข้ารักษาตัวในโรงพยาบาล และการเสียชีวิตจากโรค รวมทั้งช่วยลดการแพร่กระจายเชื้อไปสู่คนรอบข้างที่ไม่สามารถฉีดวัคซีนได้

Q: วัคซีนช่วยป้องกันโรคได้นานแค่ไหน?
A: จากการศึกษาตอนนี้ยังไม่ทราบว่าภูมิคุ้มกันในการต่อสู้โรคโควิด-19 จากการฉีดวัคซีนนั้นจะช่วยป้องกันการติดเชื้อและการแพร่กระจายเชื้อสู่ผู้อื่นได้นานแค่ไหน สำหรับวัคซีน Pfizer และ Moderna นั้นเบื้องต้นคาดว่าจะคงประสิทธิภาพการป้องกันที่สูงอย่างต่ำ 6 เดือน ซึ่งแม้จะฉีดวัคซีนครบตามที่แนะนำแล้วก็ยังต้องเว้นระยะห่าง สวมใส่หน้ากากอนามัย ปิดปากปิดจมูกเมื่อไอหรือจาม และล้างมืออย่างสม่ำเสมอ เพื่อป้องกันตัวคุณเองและคนที่คุณรัก

Q: ทำไมบางคนติดเชื้อหลังจากฉีดวัคซีนทันที?
A: โดยปกติแล้วการฉีดวัคซีนมักต้องใช้เวลาในการกระตุ้นการสร้างภูมิคุ้มกันต่อเชื้อโควิด-19 ประมาณ 14 วัน ในระหว่างนี้จึงมี
ความเป็นไปได้ที่คุณจะป่วยจากการติดเชื้อในช่วงก่อนหน้าหรือแม้แต่หลังจากฉีดวัคซีน เนื่องจากในช่วงเวลานั้นร่างกายยังสร้างภูมิคุ้มกันได้ไม่มากพอ 

Q: ฉีดวัคซีนทำให้ผลตรวจเชื้อเป็นบวกได้หรือไม่?
A: การฉีดวัคซีนไม่ได้ทำให้เกิดการติดเชื้อและไม่สามารถทำให้ผลตรวจเชื้อโควิด-19 แบบ PCR ที่เป็นการตรวจการติดเชื้อที่แม่นยำโดยเก็บสารคัดหลั่งเป็นบวก 

อย่างไรก็ตาม เนื่องจากวัคซีนจะกระตุ้นให้มีภูมิคุ้มกันต่อต้านโรค จึงเป็นไปได้ที่จะพบเชื้อจากการตรวจหาแอนติบอดีในเลือด ซึ่งเป็นวิธีการตรวจเพื่อดูว่ามีภูมิคุ้มกันที่เกิดจากการติดเชื้อโควิด-19 มาก่อนหรือจากการฉีดวัคซีนหรือไม่

Q: มีวัคซีนแล้ว เมื่อไหร่การแพร่ระบาดของโรคโควิด-19 จะหมดไป?
A: การยับยั้งการแพร่ระบาดจำเป็นต้องอาศัยภูมิคุ้มกันหมู่ หรือ Herd Immunity ซึ่งจะเกิดขึ้นเมื่อเกิดภูมิคุ้มกันต่อโรคในคนจำนวนมากพอ โดยภูมิคุ้มกันสามารถเกิดขึ้นได้ตามธรรมชาติจากการที่เคยติดเชื้อโควิด-19 มาก่อน หรือได้รับการฉีดวัคซีนนั่นเอง 

เมื่อมีคนจำนวนมากที่มีภูมิคุ้มกัน การแพร่กระจายของไวรัสจากคนหนึ่งไปสู่คนหนึ่งจะเป็นไปได้ยากขึ้น ส่งผลให้จำนวนผู้ติดเชื้อลดน้อยลงอย่างมาก และยังช่วยปกป้องผู้ที่ไม่สามารถรับการฉีดวัคซีนได้ เช่น ทารกแรกเกิด และผู้ที่แพ้วัคซีนรุนแรง อย่างไรก็ตาม ขณะนี้ผู้เชี่ยวชาญยังไม่ทราบจำนวนการฉีดวัคซีนของประชากรโลกที่จะช่วยให้เกิดภูมิคุ้มกันหมู่ได้

การควบคุมการแพร่ระบาดของโรคจะเร็วหรือช้า จึงขึ้นอยู่กับหลายปัจจัยด้วยกัน เช่น จำนวนคนที่ได้รับวัคซีน ความรวดเร็วในการอนุมัติใช้วัคซีน กำลังการผลิต การกระจายวัคซีนให้ประชาชน รวมไปถึงการกลายพันธุ์ของเชื้อไวรัสที่อาจส่งผลให้วัคซีนที่มีอยู่มีประสิทธิภาพในการป้องกันลดลง

Q: วัคซีนแต่ละชนิดป้องกันไวรัสโควิด-19 ได้ทุกสายพันธุ์หรือไม่?
A: วัคซีนส่วนใหญ่มีประสิทธิภาพป้องกันไวรัสโรคโควิด-19 สายพันธุ์อื่นด้วย โดยอาจมีประสิทธิภาพลดลงไปแต่ก็ยังสามารถช่วยป้องกันอาการรุนแรงและการเสียชีวิตจากการติดเชื้อได้อยู่ดี เนื่องจากวัคซีนมักจะช่วยสร้างภูมิคุ้มกันในวงกว้าง แต่หากมีวัคซีนใดที่มีประสิทธิภาพการป้องกันไวรัสสายพันธุ์ใหม่ลดลงอย่างมาก ก็เป็นไปได้มากที่จะต้องมีการปรับเปลี่ยนส่วนประกอบของวัคซีนเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการป้องกันจากสายพันธุ์นั้นด้วย

ผลข้างเคียงจากการฉีดวัคซีนโควิด-19

Q: วัคซีนโควิด-19 มีความปลอดภัยแค่ไหน?
A: เนื่องจากการแพร่ระบาดของโรคโควิด-19 เป็นโรคที่ไม่เคยพบมาก่อนและมีความรุนแรง จึงมีการประกาศใช้วัคซีนอย่างฉุกเฉิน แต่วัคซีนเหล่านี้ก็ยังต้องผ่านเกณฑ์มาตรฐานทางความปลอดภัยและประสิทธิภาพ โดยพิจารณาจากข้อมูลและผลการทดลองในระยะต่างๆ รวมทั้งจะมีการติดตามผลข้างเคียงและความปลอดภัยของการใช้วัคซีนเป็นระยะ ซึ่งการอนุมัติใช้วัคซีนแต่ละชนิดในแต่ละประเทศอาจแตกต่างกันไป

สำหรับวัคซีนโควิด-19 ที่ได้รับการอนุมัติให้ใช้อย่างฉุกเฉินโดยองค์การอนามัยโลก (WHO) ในตอนนี้ ได้แก่ วัคซีนของบริษัท Pfizer, AstraZeneca/Oxford, Johnson & Johnson, Moderna, Sinopharm, และ Sinovac

Q: มีผลข้างเคียงจากการฉีดหรือไม่?
A: วัคซีนโควิด-19 มีผลข้างเคียงที่พบได้บ่อยเช่นเดียวกับวัคซีนชนิดอื่นๆ คือ ปวด บวม หรือแดงบริเวณที่ฉีดวัคซีน นอกจากนี้อาจมีอาการอื่นๆ ในช่วง 1-2 วันหลังฉีด เช่น อ่อนเพลีย ปวดศีรษะ ปวดกล้ามเนื้อ มีไข้ หนาวสั่น คลื่นไส้ ต่อมน้ำเหลืองโต เป็นต้น โดยอาการข้างเคียงจากการฉีดวัคซีนเข็มที่ 2 มักจะรุนแรงกว่าเข็มที่ 1

อาการทั้งหมดนี้อาจส่งผลต่อการใช้ชีวิตประจำวันได้ แต่ก็ไม่ได้น่ากังวล เพราะเป็นสัญญาณปกติที่บ่งบอกว่าร่างกายกำลังสร้างภูมิคุ้มกันขึ้นมาปกป้องคุณจากโรคนี้ ทั้งนี้สามารถบรรเทาอาการปวดบริเวณที่ฉีดวัคซีนด้วยการประคบเย็น และหากมีไข้หรือรู้สึกอ่อนเพลียควรดื่มน้ำแล้วนอนพักผ่อนให้มาก 

คุณสามารถสอบถามแพทย์เกี่ยวกับการรับประทานยาแก้ปวดหรือแก้อักเสบหากมีอาการข้างเคียงจากการฉีดวัคซีน แต่ไม่แนะนำให้รับประทานยาดักไว้เพื่อป้องกันผลข้างเคียงจากวัคซีน เว้นแต่ว่ามีความจำเป็นต้องรับประทานยารักษาโรคบางชนิดเป็นประจำอยู่แล้ว

Q: สังเกตอาการผิดปกติหลังฉีดวัคซีนอย่างไร?
A: อาการไม่สบายตัวหรือปวดบริเวณที่ฉีดวัคซีนมักจะหายไปเองในเวลาไม่นาน แต่หากอาการไม่ดีขึ้นภายใน 2-3 วัน หรือมีอาการข้างเคียงอื่นๆ ที่ผิดปกติหรือกังวลใจ ควรแจ้งให้แพทย์ทราบ และควรไปพบแพทย์ทันทีหากมีสัญญาณของอาการแพ้รุนแรง เช่น บวมที่หน้า ริมฝีปาก คอ หายใจลำบาก มีผื่นลมพิษขึ้นตามตัว เป็นต้น 

Q: มีอาการแพ้ สามารถฉีดวัคซีนได้หรือไม่?
A: หน่วยงานป้องกันโรคติดต่อในสหรัฐอเมริกา (Centers for Disease Control and Prevention: CDC) แนะนำว่าผู้ที่มีประวัติแพ้ยา อาหาร แมลง หรือสารก่อภูมิแพ้ทั่วไปสามารถรับการฉีดวัคซีนโควิด-19 ได้ แต่ผู้ที่เคยมีประวัติการแพ้วัคซีนชนิดอื่นๆ อย่างรุนแรง (Anaphylaxis) มาก่อนควรปรึกษาแพทย์เพื่อประเมินความเสี่ยง และทุกครั้งหลังจากฉีดวัคซีนแล้วควรนั่งรอดูอาการประมาณ 30 นาทีเพื่อสังเกตอาการแพ้

Q: การฉีดวัคซีนส่งผลต่อ DNA ของเราได้หรือไม่?
A: มีวัคซีนบางชนิด ได้แก่ วัคซีน mRNA และวัคซีนเวกเตอร์ไวรัส ที่ทำงานโดยส่งสารพันธุกรรมของไวรัสเข้าไปสร้างภูมิคุ้มกันต่อเชื้อโควิด-19 แต่ส่วนประกอบของวัคซีนเหล่านี้จะไม่เข้าไปยังนิวเคลียสของเซลล์ที่มี DNA บรรจุอยู่ จึงวางใจได้ว่าการฉีดวัคซีนจะไม่ส่งผลกระทบต่อ DNA ของเราไม่ว่าทางใดก็ตาม

“คุณจะไม่มีวันปลอดภัยอย่างแท้จริงถ้าคนอื่นไม่ปลอดภัย” นี่คือหนึ่งข้อความที่ชี้ให้เห็นถึงความสำคัญของการฉีดวัคซีนในการปกป้องตัวคุณเองและคนรอบข้างจากโรคติดต่อทั้งหลาย ซึ่งแน่นอนว่ารวมถึงโรคที่ร้ายแรงและเป็นปัญหาระดับโลกอย่างโควิด-19 ด้วย 

ฉีดวัคซีนแบบมั่นใจ ไม่กลัวพลาด ปรึกษาคุณหมอที่ พรีโมแคร์ เมดิคอล คลินิก เพื่อเตรียมพร้อมก่อนฉีดวัคซีน หรือกดดูบริการอื่นๆ ของเราได้เลยที่นี่